แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กระบือของจำเลยหายไปโดยที่ผู้เสียหายมิได้ลักไป จำเลยไปเรียกเงินจากผู้เสียหายจำนวนหนึ่ง โดยกล่าวหาว่าผู้เสียหายลักกระบือของจำเลยไปและพูดจาขู่เข็ญผู้เสียหายว่า ถ้าไม่ให้เงินจะพาตำรวจมาจับและผู้เสียหายจะต้องติดคุก ทั้ง ๆ ที่จำเลยไม่ทราบว่า ผู้เสียหายลักกระบือจำเลยไปจริงหรือไม่ ผู้เสียหายกลัวจะเสียเวลาทำมาหากิน จึงให้เงินจำเลยไปโดยไม่สมัครใจ เช่นนี้ย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต จึงมีความผิดฐานกรรโชก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเรียกเงินจำนวนหนึ่งจากผู้เสียหาย โดยกล่าวหาว่าผู้เสียหายลักกระบือของจำเลยไป และขู่เข็ญว่าหากไม่ให้เงิน จำเลยจะแจ้งตำรวจจับผู้เสียหาย ผู้เสียหายกลัวต่อคำขู่จึงมอบเงินให้จำเลยไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 และขอให้คืนหรือใช้เงิน 2,500 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 ลงโทษจำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 2,500 บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายมิได้ลักกระบือของจำเลยไป และจำเลยก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้ายลักกระบือไป การที่จำเลยไปเรียกเงินจากผู้เสียหายโดยกล่าวหาว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายลักกระบือ และขู่เข็ญว่าถ้าไม่ให้เงิน จำเลยจะพาตำรวจมาจับและผู้เสียหายจะต้องติดคุกนั้นไม่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย หากเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริตเมื่อผู้เสียหายให้เงินจำเลยไปโดยไม่สมัครใจแต่เพราะกลัวเสียเวลาทำมาหากิน จำเลยย่อมมีความผิดฐานกรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น