คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป. เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ดังกล่าวนี้ แม้ตามสัญญานี้จะกำหนดให้ ป. ชำระหนี้เป็นงวด ๆ ภายใน 2 ปี และ ป. มิได้ทำสัญญารับจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ด้วย ก็เป็นสัญญาค้ำประกันซึ่งใช้บังคับจำเลยได้
โจทก์จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยแต่เพียงว่า ข้อความตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องประกอบกับข้อเท็จจริงที่แถลงรับกันนั้น จำเลยจะต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ ดังนี้ ถึงหากว่าต้นฉบับหนังสือสัญญานั้นจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็ไม่สำคัญเพราะศาลไม่จำต้องนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือค้ำประกันหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 1693/2502 ว่า หากเรือเอกเปลื้อง กลิ่นโกศล ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาภายในกำหนดแก่โจทก์ จำเลยจะชำระแทนทั้งสิ้น ทั้งยอมเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงิน 20,000 บาท นับแต่วันผิดสัญญาเป็นต้นไป ปรากฏตามสำเนาหนังสือค้ำประกันท้ายฟ้องครั้นถึงกำหนด เรือเอกเปลื้องลูกหนี้ไม่ชำระ โจทก์แจ้งให้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทนตามสัญญา จำเลยก็ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 20,000 บาทกับดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสัญญาท้ายฟ้องเป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยกับนายยันต์ วินิจนัยภาค ก่อนที่จะทำสัญญานี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วในฐานะผู้ค้ำประกันเรือเอกเปลื้อง จำเลยชนะคดี แต่นายยันต์ วินิจนัยภาค ทนายโจทก์ได้ยึดถือโฉนดของจำเลยไว้ จำเลยไม่ประสงค์จะฟ้องเรียกคืน จึงได้ทำสัญญาท้ายฟ้องไว้กับนายยันต์ โจทก์มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและไม่ปรากฏว่านายยันต์ได้รับมอบอำนาจให้เป็นตัวแทนโจทก์ในการทำสัญญาดังกล่าว สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องไม่เป็นสัญญาค้ำประกันตามกฎหมาย เพราะเมื่อโจทก์ชนะคดีเรือเอกเปลื้องแล้วโจทก์ก็เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะบังคับคดีจากเรือเอกเปลื้องภายในอายุความถ้าหากจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ว่าถ้าโจทก์บังคับคดีแก่เรือเอกเปลื้องไม่ได้ จำเลยจะชำระหนี้ให้แทน ก็อาจเป็นสัญญาค้ำประกันได้แต่ตามสัญญาท้ายฟ้องไม่ปรากฏว่าเรือเอกเปลื้องกับโจทก์ได้เข้ามาเป็นคู่สัญญาทำความตกลงกันในเรื่องชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นมูลหนี้ต่างหากจากหนี้ตามคำพิพากษาที่มีอยู่ระหว่างเรือเอกเปลื้องกับโจทก์ จึงไม่มีสัญญาอันเป็นประธาน ซึ่งจะมีมูลหนี้ระหว่างเรือเอกเปลื้องกับโจทก์ที่จำเลยจะเข้ามาทำสัญญาค้ำประกันอันเป็นสัญญาอุปกรณ์ไว้กับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้แทนเรือเอกเปลื้อง

ในวันชี้สองสถาน โจทก์และจำเลยตกลงกันงดสืบพยานบุคคลโดยขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายตามสัญญาท้ายฟ้อง โดยจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันที่ปรากฎตามสำเนาหนังสือค้ำประกันท้ายฟ้องจริง แต่จำเลยว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาระหว่างนายยันต์ วินิจนัยภาค กับจำเลยโจทก์มิได้เป็นคู่สัญญาด้วย จำเลยรับว่าหนี้ตามคดีแพ่งแดงที่ 1692/2502 ระหว่างโจทก์กับเรือเอกเปลื้องมีอยู่จริง โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันว่า ตัวโจทก์มิได้เป็นคู่สัญญาในสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องและนายยันต์ วินิจนัยภาค เป็นทนายโจทก์ในคดีแพ่งแดงที่ 1692/2502

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 20,000 บาทกับดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่าเรือเอกเปลื้องมิได้เคยทำสัญญาจะชำระหนี้กับโจทก์ไว้เลย จึงไม่มีหนี้เป็นประธานสัญญาค้ำประกันอันเป็นสัญญาอุปกรณ์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้นั้น เห็นว่าจำเลยรับแล้วว่าเรือเอกเปลื้องเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีแดงที่ 1692/2502 จริง และตามสัญญาค้ำประกันดังสำเนาท้ายฟ้องก็กล่าวไว้ว่าจำเลยค้ำประกันเรือเอกเปลื้องในการชำระหนี้ดังกล่าวนี้ เมื่อเรือเอกเปลื้องมีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวนั้นแก่โจทก์และจำเลยทำสัญญาผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้รายนั้นในเมื่อเรือเอกเปลื้องไม่ชำระหนี้ สัญญาที่จำเลยทำไว้นั้นก็เป็นสัญญาค้ำประกันตามกฎหมายแล้ว มิใช่ว่าต้องให้เรือเอกเปลื้องทำสัญญาจะชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้นให้โจทก์อีกชั้นหนึ่งก่อน แล้วจำเลยจึงจะทำสัญญาค้ำประกันได้

ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นมูลหนี้อีกมูลหนึ่งไม่ใช่หนี้อันเดียวกันกับหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวนั้น เพราะหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวนั้นโจทก์มีสิทธิบังคับคดีแก่เรือเอกเปลื้องได้ทันทีภายในอายุความ 10 ปี แต่หนี้ตามสัญญาท้ายฟ้องได้เปลี่ยนเวลาชำระหนี้ขึ้นใหม่เป็นชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวนั้นภายใน 2 ปี โดยแบ่งชำระเป็นงวดเท่ากับโจทก์แสดงเจตนาตกลงกันเป็นสัญญาขึ้นใหม่ เปลี่ยนแปลงเวลาชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับให้เรือเอกเปลื้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ทันที การที่จำเลยเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันย่อมแสดงว่าจำเลยต้องการให้โจทก์ผ่อนผันให้แก่เรือเอกเปลื้องบ้าง โจทก์จึงผ่อนเวลาให้เรือเอกเปลื้องเท่านั้น มูลหนี้ซึ่งมีอยู่ระหว่างโจทก์กับเรือเอกเปลื้องก็ยังคงเป็นมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามเดิม และเป็นมูลหนี้อันเดียวกับหนี้ซึ่งจำเลยผูกพันตนว่าจะชำระให้ในเมื่อเรือเอกเปลื้องไม่ชำระให้ตามที่ได้รับผ่อนผันแล้วนั่นเองไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะถือว่าสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้นั้นใช้บังคับไม่ได้

ข้อที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร รับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า คำแถลงรับของจำเลยในวันชี้สองสถานนั้นมีความหมายว่าจำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้จริง และความในสัญญาค้ำประกันมีดังที่ปรากฏอยู่ในสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง โจทก์จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยแต่เพียงว่าข้อความตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องประกอบกับข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับกันนั้น จำเลยจะต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ ดังนี้ ถึงหากว่าต้นฉบับหนังสือสัญญาค้ำประกันนั้นจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็ไม่สำคัญเพราะศาลหาจำต้องอาศัยต้นฉบับหนังสือสัญญานั้นมาใช้ในการวินิจฉัยด้วยไม่

พิพากษายืน

Share