คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 475/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อบกพร่องในการที่เจ้าหน้าที่กรอกชื่อบริษัทโจทก์ร่วมไว้ในทะเบียนการให้และสัญญาซื้อขายขาดคำว่า ‘จำกัด’ ท้ายชื่อไปไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่ทำขึ้น
ภริยาจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นยอมรับเป็นผู้รับมรดกความแทนจำเลยและได้รับความยินยอมจากคู่ความ ทั้งไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งในการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ภริยาจำเลยเข้ารับมรดกความ แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้สั่งอย่างใด ถือได้ว่าอนุญาตให้เป็นไปตามที่ภริยาจำเลยยอมรับจึงไม่ชอบที่ภริยาจำเลยจะรื้อฟื้นขึ้นอ้างว่าศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำสั่งในเรื่องนี้อีก
เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าของทนายโจทก์ถึงจำเลยไปยังที่อยู่ของจำเลยถึง 3 ครั้ง ก็ไม่มีผู้รับ ดังนี้ ถือได้ว่าคำบอกกล่าวเลิกสัญญาของโจทก์มีผลนับแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำส่งไปถึงสถานที่ของจำเลย และจำเลยได้ทราบคำบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าของโจทก์โดยชอบสัญญาเช่าได้ระงับเลิกไปแล้วจำเลยจึงต้องออกจากตึกพิพาทของโจทก์

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลล่างพิจารณาพิพากษารวมกันมา โดยโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนว่าจำเลยต่างเช่าตึกแถวจากบริษัท เอ็น วีฯ ต่อมาบริษัทดังกล่าวขายที่ดินพร้อมตึกที่ให้เช่าให้โจทก์ สัญญาเช่าที่จำเลยทำไว้สิ้นสุดลง ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ฯลฯ

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การสู้คดีและฟ้องแย้ง และโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง

ก่อนวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งให้หมายเรียกบริษัทเอ็น วีฯและนายอูมาร์ ฮาซาน นาโกรี เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามคำขอของจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและฟ้องแย้ง

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์

ในระหว่างอุทธรณ์ นายฮิงเต็กจำเลยตาย ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเบื้องต้นในเรื่องคู่ความแทนที่นายฮิงเต็กจำเลย ศาลชั้นต้นนัดคู่ความและนางมุ่ยอ่าย แซ่โค้ว ภริยานายฮิงเต็กจำเลยพร้อมกัน นางมุ้ยอ่ายรับเป็นผู้รับมรดกความแทนที่นายฮิงเต็กซึ่งเป็นสามี โดยทั้งสองฝ่ายไม่คัดค้านศาลชั้นต้นจึงสั่งให้นางมุ้ยอ่ายเข้ารับมรดกความแทนที่นายฮิงเต็กจำเลย

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากตึกพิพาทที่เช่าตามฟ้อง

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ที่ว่า เดิมที่ดินที่ปลูกตึกพิพาทเป็นของเพื่อนแขกของโจทก์ร่วม แล้วได้ยกให้โจทก์ร่วมนั้น ปรากฏการยกให้ตามเอกสารหมาย จ.8 สัญญาให้กรรมสิทธิ์ที่ดินทำที่หอทะเบียนที่ดินจังหวัดพระนครเมื่อ พ.ศ. 2480 มีชื่อนายอิบราฮิม หะยีบูร์ณโมหะเม็ดเป็นผู้ยกให้ และมีชื่อบริษัทโจทก์ร่วมเป็นผู้รับให้ ส่วนสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และบริษัทโจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.11 คงลงชื่อบริษัทโจทก์ร่วมเป็นผู้ขายปรากฏว่าบริษัทโจทก์ร่วมเป็นบริษัทจำกัด ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อบกพร่องในการที่เจ้าหน้าที่กรอกชื่อบริษัทโจทก์ร่วมไว้ในทะเบียนการให้และสัญญาซื้อขาย ขาดคำว่า จำกัดท้ายชื่อไป ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่ทำขึ้นโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทไว้โดยชอบ จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นางมุ้ยอ่ายภริยาของนายฮิงเต็กจำเลยซึ่งครอบครองตึกพิพาทร่วมกับนายฮิงเต็กจำเลย และครอบครองอยู่ต่อมากับบุตรในฐานะทายาทโดยธรรม แถลงต่อศาลชั้นต้นยอมรับเป็นผู้รับมรดกความแทนนายฮิงเต็กจำเลย และได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งในการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้นางมุ้ยอ่ายเข้ารับมรดกความแทนนายฮิงเต็กจำเลยแม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้สั่งอย่างใดถือได้ว่าอนุญาตให้เป็นไปตามที่นางมุ้ยอ่ายยอมรับ จึงไม่ชอบที่นางมุ้ยอ่ายหรือจำเลยจะรื้อฟื้นขึ้นอ้างว่าศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ขึ้นอีกศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่าทนายโจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าถึงจำเลยตามเอกสารหมาย จ.14 จ.15 ส่งทางไปรษณีย์จ่าหน้าซองถึงที่อยู่ของจำเลยที่ตึกพิพาทเช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำส่งถึง 3 ครั้ง ก็ไม่มีผู้รับแสดงว่าจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นหนังสือบอกเลิกการเช่าจึงไม่ยอมรับถือได้ว่าคำบอกกล่าวเลิกการเช่าของโจทก์มีผลนับแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำไปส่งถึงสถานที่อยู่ของจำเลย และจำเลยได้ทราบคำบอกกล่าวเลิกการเช่าของโจทก์แล้วโดยชอบ สัญญาเช่าได้ระงับเลิกไปแล้ว จำเลยจึงต้องออกจากตึกพิพาทของโจทก์

พิพากษายืน

Share