แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ลวดเหล็กเส้นที่โจทก์สั่งนำเข้ามาเป็นเหล็กเส้นสำเร็จรูปเป็นท่อน ๆจึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป ข้อที่ว่าเป็นเหล็กเส้นชนิดที่ใช้หล่อเสาหรือแผ่นคอนกรีตอัดแรงอันจะใช้เหล็กเส้นธรรมดาทำไม่ได้ แต่ถ้าใช้เหล็กเส้นอย่างนี้ไปทำการอย่างอื่นแทนเหล็กเส้นธรรมดา ถ้าไม่ต้องให้มีการดัดเหล็กหรืองอเหล็กแล้วก็ย่อมใช้ได้ ก็ไม่ทำให้เห็นว่าเหล็กอย่างนี้จะไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูป เป็นแต่ว่าเหล็กเส้นชนิดนี้มีคุณภาพพิเศษกว่าเหล็กเส้นธรรมดาโดยใช้ในการหล่อคอนกรีตอัดแรงได้ ซึ่งเหล็กเส้นธรรมดาใช้ไม่ได้เท่านั้นการที่ตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากรให้ใช้บังคับแก่ผู้ประกอบการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2509 เป็นต้นไป และปรากฏว่าลวดเหล็กอย่างของโจทก์นี้ต้องเสียภาษีอัตราร้อยละ 5 ของรายรับ ดังนี้ ไม่แสดงว่าลวดเหล็กของโจทก์มิใช่สินค้าสำเร็จรูป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำลวดเหล็กคอนกรีตอัดแรงเข้ามาและนำไปผลิตเป็นวัสดุอย่างอื่นจึงมิใช่สินค้าสำเร็จรูปที่นำมาใช้ในโรงงานเพื่อผลิตขายต่อไป โจทก์จึงชำระภาษีการค้าประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 9 (ก) อัตราภาษีร้อยละ 1.5 ชำระภาษีไปเป็นเงิน 3,306.02 บาท เจ้าพนักงานของกรมสรรพากรแจ้งการประเมินภาษีการค้าให้โจทก์ชำระเพิ่มภาษีอัตราร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 5เป็นค่าภาษี 7,012.75 บาท เงินเพิ่ม 350.64 บาท เบี้ยปรับ 7,012.75 บาทภาษีเทศบาล 1,437.61 บาท รวมที่ค้างชำระอีก 15,813.75 บาท โจทก์เห็นว่าเป็นการประเมินคลาดเคลื่อนได้อุทธรณ์คัดค้าน กรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้งดเรียกเบี้ยปรับและภาษีบำรุงเทศบาลเฉพาะส่วนที่คำนวณจากเบี้ยปรับ นอกนั้นคงให้โจทก์ชำระ โจทก์เห็นว่าลวดเหล็กมิใช่สินค้าสำเร็จรูป ควรเสียเพียงร้อยละ 1.5 ขอให้ศาลพิพากษาว่าการประเมินของเจ้าพนักงานนั้นไม่ชอบและยกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนที่ให้โจทก์ต้องชำระเงินอีกนั้นเสีย ฯลฯ
จำเลยให้การว่า ลวดเหล็กที่โจทก์นำเข้ามาเป็นสินค้าสำเร็จรูปตามนัยมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากร
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ลวดเหล็กเป็นสินค้าสำเร็จรูป ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า สินค้าสำเร็จรูปนั้น คือสินค้าซึ่งตามสภาพอาจอุปโภคบริโภคได้โดยไม่จำต้องเปลี่ยนหรือดัดแปลงหรือนำไปผสมกับสิ่งอื่นสำหรับลวดเหล็กเส้นที่โจทก์สั่งนำเข้ามานี้ปรากฏว่าเป็นลวดเหล็กเส้นสำเร็จรูปเป็นท่อน ๆ ที่โจทก์นำสืบพยานมานั้นก็แสดงไปในทางว่าเป็นเหล็กเส้นชนิดที่ใช้หล่อเสาหรือแผ่นคอนกรีตอัดแรงซึ่งการอย่างนั้นใช้เหล็กเส้นธรรมดาทั่ว ๆ ไปมาทำไม่ได้ แต่ถ้าจะใช้เหล็กเส้นอย่างนี้ไปทำการอย่างอื่นแทนเหล็กเส้นธรรมดา ถ้าไม่ต้องให้มีการดัดเหล็กหรืองอเหล็กแล้วก็ย่อมใช้ได้ ก็ไม่ทำให้เห็นว่าเหล็กเส้นอย่างนี้จะไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูป คือ ยังใช้อุปโภคไม่ได้ เป็นแต่ว่าเหล็กเส้นชนิดนี้มีคุณภาพพิเศษกว่าเหล็กเส้นธรรมดา โดยใช้ในการหล่อคอนกรีตอัดแรงได้ ซึ่งเหล็กเส้นธรรมดาใช้ไม่ได้เท่านั้น ไม่ใช่ว่าโดยสภาพทั่ว ๆ ไปของของอันนี้ยังใช้อุปโภคอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะต้องเปลี่ยนดัดแปลงหรือนำไปผสมกับอะไรอื่นเสียก่อน ข้อที่โจทก์อ้างว่าลวดเหล็กชนิดนี้เป็นวัสดุเฉพาะอย่างที่ทำมาเพื่อนำไปผสมกับวัสดุอื่นโดยเฉพาะ อันมีชื่อเรียกกันว่าวัสดุจำพวกคอนกรีตอัดแรงเท่านั้นไม่มีผู้นำไปใช้อย่างอื่นนอกจากงานที่ว่านี้นั้น เพียงแต่เหตุนี้ไม่ทำให้ถือว่าเป็นสินค้ายังไม่สำเร็จรูปเพราะลำพัง แต่ความประสงค์ของการที่ทำมาเพื่ออะไรและโดยปกติจะได้เอาไปใช้ทำอะไรโดยเฉพาะนั้นก็ตาม แต่เมื่อได้ทำมาเป็นสิ่งของขึ้นแล้ว สิ่งของอันนั้น ๆ มีการใช้เป็นของสำเร็จรูปประการอื่นได้ด้วย แม้ว่าในท้องตลาดจะไม่นิยมใช้หรือไม่มีการสั่งเข้ามาขายในท้องตลาดเพื่อการอย่างอื่นนั้นก็ตาม ก็หาทำให้สภาพของของที่ทำไว้ขึ้นนั้นกลายเป็นสินค้าที่ไม่สำเร็จรูปแต่ประการเดียวขึ้นไม่ เพราะสภาพของความสำเร็จรูปขึ้นอยู่กับการที่เอาอุปโภคได้ ส่วนข้อที่โจทก์อ้างในฟ้องว่าได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากรให้ใช้บังคับแก่ผู้ประกอบการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2509 เป็นต้นไปปรากฏว่าลวดเหล็ก (อย่างของโจทก์) นี้ต้องเสียภาษีอัตราร้อยละ 5 ของรายรับ โจทก์ได้ยกเอาเป็นเหตุขึ้นมาตีความว่า ก่อน ๆ มานั้นของอย่างนี้ไม่ต้องเสียภาษีอัตราร้อยละ 5 เพราะมิใช่เป็นสินค้าสำเร็จรูปนั่นเองจึงต้องแก้ไขกฎหมายกันดังนั้น ก็เห็นว่าการแก้กฎหมายดังนี้ไม่ได้ความหมายโดยตรงที่ทำให้เห็นว่าเป็นเพราะตามกฎหมายเก่าของอย่างนี้ไม่ใช่ของสำเร็จรูป เมื่อต้องการจะเก็บภาษีอย่างอัตราของสำเร็จรูป จึงได้แก้กฎหมายเสียใหม่ดังนี้ขึ้นมา
พิพากษายืน