แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีก่อนแล้วขาดนัดยื่นคำให้การ และคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้น หาได้มีกฎหมายห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ไม่ เพราะไม่ใช่เป็นกรณีฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)เนื่องจากโจทก์ในคดีนี้มิได้เป็นโจทก์ในคดีก่อน และมิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 เพราะคดีก่อนยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีก่อนว่า ที่พิพาทในคดีนี้เป็นมรดกของบิดามารดา และขอส่วนแบ่งจากโจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแล้วเพราะโจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ มิใช่ทรัพย์มรดกที่จำเลยจะมาขอแบ่ง ดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาพิพาท 2 แปลง เป็นที่ดินมือเปล่า บิดามารดายกให้ จำเลยได้ฟ้องโจทก์และพี่น้อง ขอแบ่งที่นาพิพาทและที่สวน รวมทั้งทรัพย์สินอื่นโดยอ้างว่าเป็นมรดกของบิดามารดาทั้งหมด เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 209/2524 การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ขอร้องมิให้จำเลยฟ้องขอแบ่งที่นาพิพาททั้งสองแปลงโดยจะแบ่งแปลงอื่นให้ จำเลยไม่ยอม จึงต้องฟ้องต่อศาลขอให้พิพากษาว่าที่นาพิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องหรือโต้แย้งสิทธิ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องกัน เมื่อบิดาถึงแก่กรรมบุตรทุกคนได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดร่วมกัน ที่นาพิพาททั้งสองแปลงเป็นทรัพย์มรดกด้วยจำเลยจึงได้ฟ้องขอแบ่ง ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์
ในวันชี้สองสถานคู่ความแถลงรับกันบางส่วน ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 209/2524 เป็นการเสนอคดีของตนต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เป็นการโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ในคดีนี้จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีก่อนแล้วขาดนัดยื่นคำให้การ และคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้น หาได้มีกฎหมายห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ไม่ เพราะไม่ใช่เป็นกรณีฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1) เนื่องจากโจทก์ในคดีนี้มิได้เป็นโจทก์ในคดีก่อนและมิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 เพราะคดีก่อนยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าถ้าให้ฟ้องใหม่ได้จะทำให้ฟังขัดกันนั้นก็ยังมีทางแก้ โดยอาจขอรวมพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันได้ เพราะคดีก่อนยังอยู่ในระหว่างพิจารณา และการที่จำเลยทั้งสองเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีก่อนว่าที่พิพาทในคดีนี้เป็นมรดกของบิดามารดาและขอแบ่งจากโจทก์นั้นก็เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแล้ว เพราะโจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์มิใช่ทรัพย์มรดกที่จำเลยทั้งสองจะมาขอแบ่งและเข้าเกี่ยวข้องได้ ดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
พิพากษายืน