แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นออกหมายจับ ส.ตามคำร้องของโจทก์ในฐานะที่ส. เป็นบริวารของจำเลยและไม่ออกไปจากตึกแถวพิพาทตามคำบังคับของศาล เพื่อให้ ส.ปฏิบัติตามคำบังคับ.ซึ่งส. อาจถูกกักขังจนกว่าจะออกไปจากตึกแถวพิพาท แต่ไม่เกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันจับ. ส. จะขอประกันตัวได้ภายในเงื่อนไขที่ว่า ตนยอมที่จะปฏิบัติตามคำบังคับ ทั้งตามคำร้องที่นายประกันยื่นต่อศาลเพื่อขอประกันตัว ส. ก็ระบุไว้ชัดว่า เพื่อให้ ส. ออกไปปฏิบัติตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ และคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ประกันตัวก็ระบุว่าเพื่อให้ ส. ออกไปปฏิบัติตามคำบังคับภายใน 20 วันนับแต่วันที่มีคำสั่ง ฉะนั้น ข้อที่ว่า ส. จะต้องปฏิบัติตามคำบังคับจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประกัน เมื่อ ส. ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือว่านายประกันผิดสัญญาประกัน ศาลริบเงินประกันนั้นได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นออกหมายจับนายเสริมศักดิ์ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นบริวารของจำเลย เพราะเหตุไม่ออกไปจากตึกแถวพิพาทตามคำพิพากษา และศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้นายเสริมศักดิ์ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ วันที่ 11 กันยายน 2523 เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งตัวนายเสริมศักดิ์ต่อศาลตามหมายจับ ในวันเดียวกันนั้นนายประกันซึ่งเป็นทนายความของนายเสริมศักดิ์ด้วย ยื่นคำร้องขอประกันตัวนายเสริมศักดิ์เพื่อออกไปปฏิบัติตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่า “อนุญาตให้บริวารจำเลยออกไปปฏิบัติตามคำบังคับภายใน 20 วัน นับแต่วันนี้ตีราคาสองหมื่นบาทหากไม่ปฏิบัติตามให้ถอนและยึดเงินทันที นัดพร้อมวันที่ 3 ตุลาคม ศกนี้เวลา 13.30 น. แจ้งให้โจทก์ทราบ” จากนั้นนายประกันทำสัญญาประกันให้ไว้ต่อศาล ตามสำนวนอันดับ 51 ถึงวันนัดพร้อมศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่มีหลักฐานเป็นที่ปรากฏว่า นายเสริมศักดิ์ได้มอบอาคารพิพาทให้แก่โจทก์การที่นายเสริมศักดิ์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลถือว่านายเสริมศักดิ์ผิดสัญญาประกัน ให้กักขังนายเสริมศักดิ์ไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับและริบเงินประกัน อนึ่ง ในวันเดียวกันนั้นศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังโดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายเสริมศักดิ์เป็นบริวารของจำเลย
วันที่ 10 ตุลาคม 2523 นายประกันยื่นคำร้องว่า นายประกันได้พานายเสริมศักดิ์มาศาลตามนัด นายประกันจึงมิได้ผิดสัญญาประกันส่วนการที่นายเสริมศักดิ์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลก็ควรจะเอาโทษแก่นายเสริมศักดิ์เพียงผู้เดียว ขอให้ยกเลิกคำสั่งริบเงินประกัน และอนุญาตให้นายประกันรับเงินจำนวนดังกล่าวคืน
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
นายประกันอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายประกันฎีกา
ในปัญหาที่ว่านายประกันผิดสัญญาประกันหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 300 บัญญัติว่า “ลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ถูกจับกุมตามหมายที่ออกเพื่อการจงใจขัดขืน จะต้องถูกกักขังไว้จนกว่าจะได้หาประกันมาตามจำนวนที่ศาลจะกำหนดตามที่เห็นสมควร(แต่ในกรณีฟ้องเรียกเงินไม่ให้เกินกว่าจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม) ว่าตนยินยอมที่จะปฏิบัติตามคำบังคับทุกประการแต่ห้ามไม่ให้กักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามหมายดังกล่าวแล้วเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันจับ” พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่านายเสริมศักดิ์เป็นบริวารของจำเลย ซึ่งนายเสริมศักดิ์จะต้องออกจากตึกแถวพิพาทตามคำบังคับของศาล นายเสริมศักดิ์ขอผัดออกจากตึกแถวพิพาท เมื่อโจทก์ยินยอมและศาลอนุญาตแล้วนายเสริมศักดิ์กลับไม่ยอมออกจากตึกแถวพิพาทตามที่ขอผัดและอุทธรณ์ว่ามิได้เป็นบริวารของจำเลย กับขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ และนายเสริมศักดิ์ยังไม่ออกจากตึกแถวพิพาทศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับนายเสริมศักดิ์ตามคำร้องของโจทก์ เพื่อให้นายเสริมศักดิ์ปฏิบัติตามคำบังคับ ซึ่งนายเสริมศักดิ์อาจถูกกักขังจนกว่าจะออกไปจากตึกแถวพิพาทแต่ไม่เกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันจับ นายเสริมศักดิ์จะขอประกันตัวได้ภายในเงื่อนไขที่ว่า ตนยอมที่จะปฏิบัติตามคำบังคับทั้งตามคำร้องที่นายประกันยื่นต่อศาลเพื่อขอประกันตัวนายเสริมศักดิ์ก็ระบุไว้ชัดว่า เพื่อให้นายเสริมศักดิ์ออกไปปฏิบัติตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ และคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ประกันตัวก็ระบุว่าเพื่อให้นายเสริมศักดิ์ออกไปปฏิบัติตามคำบังคับภายใน 20 วันนับแต่วันที่มีคำสั่ง ฉะนั้น ข้อที่ว่านายเสริมศักดิ์จะต้องปฏิบัติตามคำบังคับจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประกัน เมื่อนายเสริมศักดิ์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือได้ว่านายประกันผิดสัญญาประกัน
พิพากษายืน