แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมกฎหมายบัญญัติเกี่ยวกับการมีฝิ่นและมูลฝิ่นไว้ในมาตราเดียวกัน ต่อมาได้มีการแก้ไขโดยบัญญัติแยกไว้คนละมาตรา เป็นคนละฐานความผิด จึงเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการแยกการมีฝิ่นและมูลฝิ่นไว้เป็นคนละความผิดกัน ฉะนั้น แม้จำเลยจะมีฝิ่นและมูลฝิ่นไว้ในความครอบครองในวาระเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2524 จำเลยมีฝิ่นดิบ มูลฝิ่นและกล้องสูบฝิ่น ไว้ในความครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 มาตรา 2, 8, 11, 34, 53, 53 ทวิ,66, 69 ฯลฯ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง แต่ความผิดฐานมีฝิ่นและมูลฝิ่นเป็นความผิดในลักษณะเดียวกัน จำเลยมีไว้ในความครอบครองในวาระเดียวกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษในความผิดฐานมีฝิ่นไว้ในความครอบครอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนัก วางโทษจำคุก 6 เดือน ฐานมีกล้องสูบฝิ่นปรับ 200 บาท รวมจำคุก 6 เดือน และปรับ200 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน ปรับ 100 บาท ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดฐานมีฝิ่นและมูลฝิ่นเป็นความผิดหลายกรรมต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษฐานมีมูลฝิ่นไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมายตามมาตรา 53 ทวิ ด้วยโดยวางโทษจำคุก6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน รวมกับโทษที่ศาลชั้นต้นลงไว้เป็นจำคุก 6 เดือน ปรับ 100 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาว่า ความผิดฐานมีฝิ่นและมูลฝิ่นเป็นความผิดกรรมเดียวกัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า เดิมพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 บัญญัติเกี่ยวกับการมีฝิ่นและมูลฝิ่นไว้ในมาตราเดียวกัน คือมาตรา 53 ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามพระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2502 บัญญัติแยกไว้คนละมาตราเป็นคนละฐานความผิด คือฐานมีฝิ่นผิดตามมาตรา 53 ฐานมีมูลฝิ่นผิดตามมาตรา 53 ทวิ ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการแยกการมีฝิ่นและมูลฝิ่นไว้คนละความผิดกัน ฉะนั้น แม้จำเลยจะมีฝิ่นและมูลฝิ่นไว้ในความครอบครองในวาระเดียวกัน แต่วัตถุของกลางเป็นคนละสิ่ง ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
พิพากษายืน