แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยรับรถยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเพียงแต่ระบุว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ แต่มิได้ระบุข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่านำสืบไม่ได้อย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรค 2,225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้มีคนร้ายลักรถยนต์เก๋ง 1 คัน ของนางมัลลิกาไป ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยรถยนต์เก๋งที่ถูกลักไปดังกล่าวเป็นของกลาง ทั้งนี้จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลักหรือรับรถยนต์คันนี้ไว้จากคนร้าย โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 2 เคยต้องโทษจำคุกมาแล้ว ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) (3) (7), 357, 83, 93
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร และรับข้อเคยต้องโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 83 และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 93จำคุกจำเลยที่ 1 สี่ปี จำเลยที่ 2 หกปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 2
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยรับรถยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นั้น เห็นว่าฎีกาของจำเลยข้อนี้เพียงแต่ระบุว่าโจทก์นำสืบไม่ได้เท่านั้น แต่มิได้ระบุข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่านำสืบไม่ได้อย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรค 2, 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนข้อเท็จจริงเห็นว่าควรลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง