คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีโจทก์อนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องที่ดิน โดยสามีโจทก์ยินยอมรับผิดร่วมด้วยกับโจทก์ ในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับการดำเนินคดีทุกประการ ในระหว่างที่โจทก์ดำเนินคดีดังกล่าว โจทก์จำเลยตกลงกันต่อศาลให้โจทก์ทำนาพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดยโจทก์ยอมเสียค่าเช่าไร่ละ 7 ถังข้าวเปลือกคิดเป็นเงินถังละ 13 บาท ถ้าจำเลยชนะคดีโจทก์จะนำค่าเช่าดังกล่าวชำระให้จำเลยภายใน 1 เดือนนับแต่เสร็จคดี การที่โจทก์ตกลงกับจำเลยเช่นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินคดีที่ฟ้อง ซึ่งสามีได้อนุญาตให้โจทก์กระทำได้ตามที่อนุญาตไว้นั่นเอง สามีโจทก์จะเถียงว่าข้อที่โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยต่อศาลเรื่องการทำนาพิพาทนั้นไม่เกี่ยวกับการที่สามีโจทก์ได้อนุญาตให้กระทำได้นั้นย่อมฟังไม่ขึ้น ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชนะคดี โจทก์ไม่ยอมชำระค่าเช่า จำเลยย่อมมีสิทธินำยึดสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับสามีเพื่อบังคับคดีเอาชำระค่าเช่าตามที่ตกลงกันไว้ได้ โดยจำเลยไม่ต้องขอให้แยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของโจทก์ก่อน สามีโจทก์จะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยแย่งการครอบครองที่ดิน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์ทำนาพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดยโจทก์ยอมเสียค่าเช่าในอัตราไร่ละ 7 ถังข้าวเปลือกคิดเป็นเงินถังละ 13 บาท หากจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในที่สุด โจทก์จะนำค่าเช่าดังกล่าวชำระให้จำเลยใน 1 เดือนนับแต่เสร็จคดี ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชนะคดี โจทก์ไม่ยอมชำระค่าเช่าตามที่ได้ตกลงกันไว้ จำเลยจึงนำยึดที่ดินโฉนดที่ 1699 ของโจทก์เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระค่าเช่าที่ตกลงไว้นั้น

นายมาร้องขัดทรัพย์ว่าที่ดินที่จำเลยนำยึดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องอยู่กึ่งหนึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ร้อง เรื่องค่าเช่าที่โจทก์แพ้คดีผู้ร้องมิได้รับรองในการเช่าทั้งมิได้ให้สัตยาบัน จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์ ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

จำเลยให้การว่า ผู้ร้องเป็นสามีโจทก์ ได้มีหนังสือยินยอมให้โจทก์ดำเนินคดีถือได้ว่าได้ร่วมรับผิดกับโจทก์ จึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ และที่ดินที่นำยึดมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หากผู้ร้องจะมีกรรมสิทธิ์ร่วม ก็ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดจะมีสิทธิก็เพียงแต่ขอให้ศาลกันส่วนของตนเมื่อมีการขายทรัพย์แล้วเท่านั้น ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจขอให้ปล่อยทรัพย์ ชอบที่จะขอให้ศาลกันส่วนของผู้ร้องไว้เท่านั้น ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์

ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้เกี่ยวกับค่าเช่าเป็นหนี้ร่วม ย่อมผูกพันสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิยึดเพื่อขายทอดตลาดได้ พิพากษายืนในผล

ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ฟ้องคดีจำเลย ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นสามีโจทก์ได้ให้ความยินยอมแก่โจทก์ในการฟ้องคดีต่อศาลมีความว่า ในการที่โจทก์ฟ้องคดีนั้น ผู้ร้องขัดทรัพย์ผู้เป็นสามีได้รู้และให้ความยินยอมแล้ว หากเกิดความเสียหายประการใด ผู้ร้องขัดทรัพย์ผู้เป็นสามียินยอมรับผิดด้วยทุกประการ เห็นได้ว่าการที่ผู้ร้องขัดทรัพย์สามีโจทก์ได้อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีกับจำเลยดังกล่าว เป็นการยินยอมรับผิดร่วมด้วยกับโจทก์ซึ่งได้กระทำไปเกี่ยวแก่การดำเนินคดีฟ้องร้องจำเลยในความเสียหายที่จะพึงเกิดขึ้นทุกประการ การที่โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยต่อศาลขอทำนาพิพาท โดยถ้าโจทก์แพ้คดีในที่สุดจะให้ค่าเช่าแก่จำเลย นั้น ก็เป็นเรื่องเกี่ยวแก่การดำเนินคดีที่ฟ้อง ซึ่งผู้ร้องขัดทรัพย์ได้อนุญาตให้โจทก์กระทำได้ตามที่อนุญาตให้ไว้นั่นเอง ผู้ร้องขัดทรัพย์จะเถียงว่า ข้อที่โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยต่อศาลเรื่องการตกลงทำนาพิพาทนั้นไม่เกี่ยวกับการที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้อนุญาตให้กระทำได้นั้นจึงรับฟังไม่ขึ้น จำเลยจึงชอบที่จะนำยึดสินบริคณห์ทั้งหมดระหว่างโจทก์กับผู้ร้องขัดทรัพย์ บังคับคดีได้โดยจำเลยไม่ต้องขอให้แบ่งแยกออกเป็นส่วนของโจทก์ก่อน

พิพากษายืน

Share