คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2490/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับคลอง ห. นอกจากลำคลองนี้แล้วไม่มีทางสาธารณะอื่นที่โจทก์จะออกไปสู่ถนน อ. อันเป็นทางสาธารณะได้ตามธรรมดาย่อมถือว่าแม่น้ำลำคลองเป็นทางสาธารณะหรือทางหลวงแต่ปรากฏว่าคลอง ห. นี้หาได้มีน้ำที่จะใช้เป็นทางสัญจรทางเรือตลอดเวลาไม่ เพราะบางฤดูน้ำแห้ง และน้ำในคลองขุ่นเป็นน้ำครำ บ่งว่าได้ตื้นเขินไปมากแล้ว ประชาชนที่ปลูกบ้านอยู่สองฟากคลองก็มิได้ใช้เป็นทางสัญจร มีแต่แม่ค้าพายเรือขายของบ้างเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าคลอง ห. นี้ เป็นทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์จึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยที่อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ออกไปสู่ถนน อ. ได้
โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็น จำเลยมิได้เรียกร้องค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์จะใช้ที่ดินของจำเลยมาในคำให้การเพื่อให้เป็นประเด็นนำสืบว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใดโดยโจทก์มิได้ฟ้องแย้งทั้งโจทก์ไม่มีโอกาสนำสืบในเรื่องนี้ด้วย ศาลย่อมไม่วินิจฉัยให้ จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 4096 และโฉนดที่ 3842 ซึ่งเป็นผืนเดียวกัน และอยู่ติดกับที่ดินโฉนดที่ 3843, 3844 ของจำเลย ที่ดินของโจทก์อยู่ในที่ล้อม ไม่มีทางติดต่อกับถนนอิสรภาพอันเป็นทางสาธารณะ เพราะที่ดินจำเลยปิดกั้นอยู่ เวลานี้จำเลยได้ทำทางรถยนต์และคนเดินเท้าเต็มเนื้อที่ดินโฉนดที่ 3843 จากถนนอิสรภาพเข้าสู่ที่ดินโฉนดที่ 3844 ของจำเลย ทางกว้าง 4 เมตร ยาวประมาณ 100 เมตร ทางนี้จดกับที่ดินโฉนดที่ 3842 ของโจทก์ โจทก์จำเป็นต้องใช้ทางเดินดังกล่าวเพื่อเข้าออกสู่ถนนอิสรภาพอันเป็นทางสาธารณะ แต่จำเลยปิดกั้นไม่ยอมให้โจทก์ใช้ ทำให้โจทก์เดือดร้อนเสียหาย เพราะทางดังกล่าวเป็นทางเข้าออกที่ใกล้และสะดวกที่สุด ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกถือว่าเป็นทางจำเป็นสำหรับโจทก์และบริวาร ขอให้พิพากษาว่าทางตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นสำหรับโจทก์และบริวารเข้าออก ห้ามมิให้จำเลยขัดขวางการใช้เส้นทาง

จำเลยให้การว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงไม่ได้ตกอยู่ในที่ล้อมหรือไม่มีทางติดต่อกับทางสาธารณะดังฟ้อง เพราะที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงติดกับลำคลองวัดหงษ์รัตนาราม ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์โจทก์มีทางออกไปสู่ถนนสาธารณะได้

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าลำคลองวัดหงษ์รัตนารามเป็นคลองสาธารณประโยชน์ โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้เส้นทางในโฉนดที่ดินของจำเลยเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ แต่ทางกว้าง 1 เมตร นับว่าเพียงพอแก่ความจำเป็นของโจทก์ และในการใช้สิทธิผ่านที่ดินของจำเลย โจทก์จะต้องชดใช้ค่าทดแทนให้จำเลย พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางและเปิดทางเดินกว้าง 1 เมตร เพื่อให้โจทก์กับบริวารใช้เข้าออกสู่ถนนอิสรภาพ และห้ามขัดขวางในเมื่อโจทก์ได้ใช้ค่าทดแทนสำหรับที่ดินให้จำเลยครบแล้ว

โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คลองวัดหงษ์รัตนารามเป็นทางสาธารณะอยู่โจทก์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เส้นทางผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ทางสาธารณะอื่นอีกประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงติดลำคลองวัดหงษ์รัตนาราม นอกจากลำคลองนี้แล้วไม่มีทางสาธารณะอื่นที่โจทก์จะออกจากที่ดินของโจทก์มาสู่ถนนอิสรภาพอันเป็นทางสาธารณะได้คลองวัดหงษ์รัตนารามนี้น้ำขุ่นเป็นน้ำครำ บางฤดูน้ำแห้ง ไม่มีเรือรับจ้างที่จะใช้เป็นพาหนะ มีแต่เรือขายของ คลองนี้บางแห่งแคบเพราะมีบ้านคนปลูกริมตลิ่งเต็มหมด ไม่มีใครใช้เข้าออก

ปัญหามีว่า คลองวัดหงษ์รัตนารามเป็นทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามธรรมดาย่อมถือว่าแม่น้ำลำคลองเป็นทางสาธารณะหรือทางหลวงตามกฎหมายเพราะเป็นทางอาศัยสัญจรไปมาทางน้ำแต่ปรากฏว่าคลองวัดหงษ์รัตนาราม หาได้มีน้ำที่จะอาศัยใช้เป็นทางสัญจรทางเรือตลอดเวลาไม่ เพราะบางฤดูน้ำแห้ง และโดยสภาพที่น้ำขุ่นเป็นโคลนบ่งว่าคลองได้ตื้นเขินไปมากแล้ว ประชาชนที่ปลูกบ้านอยู่สองฟากลำคลองก็มิได้ใช้เป็นทางสัญจร การที่มีแม่ค้าพายเรือขายของเมื่อมีน้ำก็เป็นธรรมดาของการทำมาหากินและเป็นเพียงครั้งคราวเท่านั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์มีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยที่อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ออกไปสู่ถนนอิสรภาพได้

ที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง 4 เมตร แต่ศาลชั้นต้นให้เปิดทางกว้าง 1 เมตร นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าทางกว้าง 1 เมตร ไม่เพียงพอแก่การใช้สอยที่โจทก์จะนำรถเข้าไปในที่ดินของโจทก์ได้ ตามสภาพการณ์ทุกวันนี้ รถยนต์เป็นพาหนะจำเป็น และถนนในที่ดินจำเลยกว้าง 4 เมตรอยู่แล้ว สมควรให้เปิดทางกว้าง 4 เมตร

ในปัญหาเรื่องค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์จะใช้ที่ดินของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมิได้เรียกร้องมาในคำให้การอันจะเป็นประเด็นนำสืบต่อมาว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใดโดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้งศาลฎีกาจึงยังไม่วินิจฉัยให้ ทั้งโจทก์ไม่มีโอกาสนำสืบในเรื่องนี้ด้วย จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ในเรื่องนี้เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก

พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ในข้อที่ให้จำเลยเปิดทางกว้าง 1 เมตรนั้น เป็นบังคับให้จำเลยเปิดทางกว้าง 4 เมตร และในข้อที่บังคับให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนนั้นเป็นไม่บังคับโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่ง

Share