แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยต่างฟ้องคดีซึ่งกันและกันทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยคืนค่าหุ้นและแบ่งผลกำไร โดยจำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์ 250,000 บาท และโจทก์จำเลยยอมเลิกคดีที่พิพาทกันทุกคดีเงินจำนวน 250,000 บาทที่โจทก์ได้รับเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องขอคืนค่าหุ้นและแบ่งผลกำไร อันเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญา จึงไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด แม้จะมีคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม เป็นส่วนช่วยให้การประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นผลสำเร็จลงได้ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เรียกเอาค่าเสียหายอะไรในคดีอาญานั้นด้วย จะถือว่าเงินนั้นเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดยังไม่ได้ เงินจำนวน 250,000 บาทนี้จึงไม่เป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันจะได้รับยกเว้นจากการเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เนื่องจากโจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 หาว่าสมคบกับบุคคลอื่นกระทำความผิดคดีอาญาหลายคดี ในที่สุดตกลงกันโดยโจทก์ถอนฟ้องคดีเหล่านั้นและจำเลยที่ 1 กับพวกยอมชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆจากการที่ฝ่ายจำเลยได้ก่อให้เกิดการฟ้องร้องขึ้น ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยุยงให้จำเลยที่ 2 ประเมินภาษีเงินได้จากเงินชดใช้ค่าเสียหายนั้น โจทก์อุทธรณ์ จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะเงินที่โจทก์ได้รับนั้นเป็นเงินชดใช้ค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องเสียไปในการเป็นความ ทั้งเป็นเงินค่าเสียหายจากการละเมิดอีกด้วย ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ 1 เคยเป็นความกับโจทก์ ต่อมาได้ตกลงเลิกคดีกันโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว คดีที่ยอมความกันนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยฐานละเมิด การประเมินภาษีของจำเลยที่ 2 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ถูกต้องแล้ว
วันชี้สองสถาน โจทก์แถลงรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความจริงตามคำให้การจำเลย โจทก์ขอสละประเด็นอื่นทั้งหมด ขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า เงินที่โจทก์ได้มาเป็นเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดหรือไม่ และได้รับยกเว้นในการเก็บภาษีหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์ได้มามิใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดโดยตรง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์กับนายประสงค์กับพวกต่างยื่นฟ้องซึ่งกันและกันเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาหลายสำนวน ต่อมาคู่ความในทุกคดีแถลงขอตกลงประนีประนอมเลิกคดีกันและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 165/2503 โดยจำเลยที่ 1 นายประสงค์ นายสงวน นายยนต์ และนายเต๊ะ จำเลยในคดีอาญาข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารปลอมยอมใช้เงินให้โจทก์ 250,000 บาท ส่วนคดีต่าง ๆ ที่พิพาทกันอยู่ในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา คู่ความจะได้ยื่นคำร้องขอถอนให้เสร็จสิ้นไป ต่างไม่ติดใจเรียกร้องอะไรกันอีก และคู่ความทุกคดียอมสละสิทธิที่จะบังคับคดีในทุกคดี
มีปัญหาว่า เงินจำนวน 250,000 บาทที่โจทก์ได้รับเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันจะได้รับยกเว้นจากการเสียภาษีเงินได้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้นำสืบว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้จ่ายให้เพื่อทดแทนความเสียหายอะไรของโจทก์ที่จะถือเอาได้ว่าเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด เพราะทั้งสองฝ่ายรับกันได้ความแต่เพียงว่า จำเลยกับพวกยอมให้เงินแก่โจทก์ และทุกฝ่ายยอมเลิกคดีซึ่งต่างฟ้องร้องกันและกันเสียเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าให้เงินนั้นตามข้อเรียกร้องในคดีใด หรือให้เพื่อทดแทนความเสียหายอะไร แม้คดีที่โจทก์ยอมเลิกจะมีคดีอาญาที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 กับพวก ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมรวมอยู่ด้วย ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เรียกเอาค่าเสียหายอะไรในคดีนั้น จะถือว่าเงินที่โจทก์ได้รับเป็นเงินทดแทนความเสียหายโจทก์ยังไม่ได้ และเมื่อพิเคราะห์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 165/2503 กลับจะเห็นได้ว่าเงินจำนวน 250,000 บาทที่โจทก์ได้รับไปนั้น เป็นการระงับข้อพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องขอคืนค่าหุ้นและแบ่งผลกำไรอันเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญา เงินนั้นก็ไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด แม้การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกหาว่าปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จะมีส่วนช่วยให้การประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นผลสำเร็จลงได้ ก็หาทำให้ถือได้ว่าเงินที่ชำระกันตามข้อเรียกร้องในคดีแพ่งนั้นเป็นเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดไปไม่
พิพากษายืน