คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1991/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และธนาคาร ก. ต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา มีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินซึ่งจำเลยที่ 2 และ ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินเพื่อเอาเงินแบ่งส่วนเฉลี่ยให้โจทก์และธนาคารเจ้าหนี้ เมื่อโจทก์เห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีคิดส่วนเฉลี่ยแบ่งให้โจทก์ไม่ถูกต้อง โจทก์ย่อมมีสิทธิร้องคัดค้านการแบ่งส่วนเฉลี่ยนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 320 เพราะโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจากการแบ่งส่วนเฉลี่ยของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้ร้องมีกรรมสิทธิในที่ดินที่ขายทอดตลาดร่วมกับจำเลยที่ 2 อยู่ 1 ใน 3 ส่วนและจำเลยที่ 2 มี 2 ใน 3 ส่วน แต่ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ร่วมกันทำสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของบุคคลอื่นต่อธนาคาร โดยมิได้แบ่งส่วนความรับผิดไว้ ต่อมาได้จำนองที่ดินที่ขายทอดตลาดนั้นให้เป็นประกันแก่ธนาคารด้วย เมื่อธนาคารฟ้องผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ยังได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้แก่ธนาคาร จึงถือได้ว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ร่วมกันซึ่งจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้เท่า ๆ กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 เจ้าพนักงานบังคับคดีจะคิดส่วนเฉลี่ยให้ผู้ร้องรับผิดเพียง 1 ใน 3 ตามส่วนแห่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอบังคับคดีโดยนำยึดที่ดินโฉนดที่ 4414 ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ 2 ส่วน ผู้ร้องและนางล้วนถือกรรมสิทธิ์คนละส่วน เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 และผู้ร้องติดจำนองธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด โดยจำเลยที่ 2 และผู้ร้องจำนองเพื่อค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดยูเนียนเคมีภัณฑ์ ซึ่งธนาคารได้ฟ้องบังคับจำนอง และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยห้างลูกหนี้กับจำเลยที่ 2 และผู้ร้องยอมร่วมกันชำระเงิน 354,264 บาท 90 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยแก่ธนาคาร

ในการบังคับคดี โจทก์ตกลงกับธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ 4414 เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 และผู้ร้องในคราวเดียวกันและศาลชั้นต้นอนุญาตเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาด ได้เงิน 700,000 บาท เป็นเงินส่วนของจำเลยที่ 2 จำนวน 466,666.67 บาท ส่วนของผู้ร้อง 233,333.33 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งบัญชีส่วนเฉลี่ยการแบ่งเงินให้คู่ความทั้งสองคดีทราบ โดยแสดงรายการว่าหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6360/2510 ของธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 477,069.63 บาท จำเลยที่ 2 และผู้ร้องต้องรับผิดร่วมกันในฐานะผู้จำนองร่วม ตามจำนวนเนื้อที่ดินที่จำนองซึ่งแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ 2 ใน 3 ส่วนต้องรับผิด 318,046.42 บาท ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ 1 ใน 3 ส่วน ต้องรับผิด 159,023.21 บาท เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดส่วนของจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 426,666.67 บาท เมื่อหักส่วนที่จะต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6360/2510 หักค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีและค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดออกแล้ว คงเหลือเงินอีก 124,265.04 บาท ซึ่งจะต้องจ่ายให้โจทก์ทั้งหมดเพราะเหลือไม่พอชำระหนี้โจทก์ ส่วนของผู้ร้องเป็นเงิน 233,333.33 บาท เมื่อหักส่วนที่จะต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6360/2510 หักค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีและค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดออกแล้ว คงเหลือเงินที่จะคืนให้ผู้ร้องเป็นเงิน 61,521.58 บาท

โจทก์และผู้ร้องต่างร้องคัดค้านการแบ่งส่วนเฉลี่ยดังกล่าว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 และผู้ร้องรับผิดชำระหนี้ให้ธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด คนละครึ่ง (เมื่อได้หักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีแล้ว) หากส่วนได้ของผู้ร้องไม่พอ ก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระจนครบ ถ้ามีเงินเหลือส่วนของจำเลยที่ 2 ให้ชำระหนี้ให้โจทก์ ส่วนของผู้ร้องคืนให้ผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกาว่า

1. โจทก์ไม่มีอำนาจร้องคัดค้านว่าผู้ร้องต้องชำระหนี้ให้ธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด เท่าใด

2. ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 และผู้ร้องรับผิดต่อธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด คนละครึ่งนั้นไม่ชอบ

ข้อแรก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทั้งโจทก์และธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด ต่างก็เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา มีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินซึ่งจำเลยที่ 2 และผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินเพื่อเอาเงินแบ่งส่วนเฉลี่ยให้โจทก์และธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด เจ้าหนี้ เมื่อโจทก์เห็นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดส่วนเฉลี่ยแบ่งให้โจทก์ไม่ถูกต้อง โจทก์ย่อมมีสิทธิร้องคัดค้านการแบ่งส่วนเฉลี่ยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 320 แม้ธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด ผู้เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิซึ่งได้รับส่วนเฉลี่ยเต็มจำนวนหนี้แล้ว จะมิได้ร้องคัดค้าน ก็หาตัดสิทธิของโจทก์ที่จะร้องคัดค้านด้วยไม่ เพราะโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจากการแบ่งส่วนเฉลี่ยของเจ้าพนักงานบังคับคดี

ข้อสอง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ขายทอดตลาดร่วมกับจำเลยที่ 2 เพียง 1 ใน 3 ส่วน ก็ดี แต่ในการที่จำเลยที่ 2 และผู้ร้องร่วมกันทำสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชี ตามเอกสารหมาย 3 ท้ายฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6360/2510 หาได้แบ่งส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 2 และผู้ร้องไว้ไม่ การจำนองที่ดินในวันต่อมาตามเอกสารหมาย 4 และ 5 ท้ายฟ้องคดีดังกล่าว ก็เป็นแต่เพียงให้ประกันแก่ธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด ผู้เป็นเจ้าหนี้เท่านั้น นอกจากนี้เมื่อธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด ฟ้องจำเลยที่ 2 และผู้ร้องให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชี ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ก็ยังได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้แก่ธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด ดังปรากฏตามสำนวนคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 6360/2510 จึงถือได้ว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ร่วมกัน ซึ่งจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้เท่า ๆ กัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 เมื่อธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด โจทก์ในคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 6360/2510 มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 และผู้ร้องคนละครึ่งเท่า ๆ กัน การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดส่วนเฉลี่ยให้ผู้ร้องรับผิดเพียง 1 ใน 3 จึงไม่ถูกต้อง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด คนละครึ่งนั้นจึงเป็นการชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share