คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3119/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นตัวแทนของลูกค้าในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยโจทก์ให้บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการแทนโจทก์ ถือไม่ได้ว่าการดำเนินงานของโจทก์เป็นการประกอบกิจการตลาดหลักทรัพย์หรือกิจการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน จึงหาใช่เป็นการจัดให้มีตลาดหรือสถานที่อันเป็นศูนย์กลางการซื้อหรือขายหลักทรัพย์หรือการให้บริการที่เกี่ยวกับการจัดให้มีตลาดหรือสถานที่ดังกล่าวตามความหมายในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ไม่ ดังนั้น การรับเป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยทั่วๆ ไป โจทก์ย่อมกระทำได้โดยชอบ
ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจพบว่าการที่โจทก์ให้ลูกค้ากู้ยืมเงินซื้อหุ้นของบริษัทโจทก์เองเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงให้จำเลยกู้ยืมเงินจากบริษัทในเครือแทนเท่ากับว่าโจทก์เองเป็นผู้ให้จำเลยกู้ยืมเงินไปซื้อหุ้นของบริษัทโจทก์และจำเลยต้องจำนำหุ้นไว้แก่บริษัทในเครือเพื่อเป็นประกันเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายโดยโจทก์เป็นผู้ยึดถือหุ้นนั้นไว้จึงมีผลเท่ากับว่าโจทก์รับเอาหุ้นของบริษัทโจทก์ไว้เป็นประกันอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1143 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์จะอ้างเป็นมูลเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงินดังกล่าวหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการในการเป็นตัวแทนและนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ แต่โจทก์มิได้เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โจทก์จึงซื้อขายหลักทรัพย์ตามคำสั่งของลูกค้าผ่านทางบริษัทที่เป็นสมาชิก และโจทก์เป็นผู้ออกเงินทดรองรวมทั้งค่านายหน้าแทนลูกค้าไปก่อน จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ ได้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นบริษัทราชาเงินทุนจำกัด (บริษัทโจทก์) หลายครั้ง โจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นแทนจำเลยไปซึ่งเงินจำนวนนี้จำเลยกู้ยืมจากบริษัทในเครือของโจทก์ซึ่งกู้จากโจทก์ไปให้จำเลยกู้อีกทอดหนึ่งโดยจำเลยจำนำหุ้นที่ซื้อไว้แก่บริษัทในเครือของโจทก์ดังกล่าวเป็นประกัน เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วจำเลยคงเป็นหนี้อยู่เป็นจำนวน 134,047.55 บาท บริษัทในเครือของโจทก์ไม่ยอมทวงหนี้จากจำเลย โจทก์จึงต้องใช้สิทธิเรียกร้องของบริษัทในเครือดังกล่าวซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมสัญญาจำนำตั๋วเงินขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นการประกอบกิจการตลาดหลักทรัพย์หรือกิจการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ต้องห้ามตาม มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 และบริษัทยังรับจำนำหุ้นของตนเองเป็นประกันสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอ้างสัญญานั้นฟ้องเรียกหนี้สินอันเกิดจากสัญญาดังกล่าวจากจำเลย พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยตามมูลหนี้ที่อ้างตามฟ้องได้หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ประกอบกิจการตลาดหลักทรัพย์อันต้องห้ามตามกฎหมาย โจทก์เป็นเพียงตัวแทนและนายหน้าของจำเลยในการซื้อและขายหลักทรัพย์ตามคำสั่งของจำเลย สัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ที่จำเลยสั่งให้โจทก์ทำจึงชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ เห็นว่าได้ความจากคำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์เป็นตัวแทนของลูกค้าในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยโจทก์ติดต่อกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ให้ดำเนินการแทนโจทก์ในตลาดหลักทรัพย์ ถือไม่ได้ว่าการดำเนินงานของโจทก์เป็นการประกอบกิจการตลาดหลักทรัพย์หรือกิจการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพราะการจัดการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยเป็นนายหน้าหรือตัวแทนของลูกค้า หาใช่เป็นการจัดให้มีตลาดหรือสถานที่อันเป็นศูนย์กลางการซื้อหรือขายหลักทรัพย์หรือการให้บริการที่เกี่ยวกับการจัดให้มีตลาดหรือสถานที่ดังกล่าวตามความหมายในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ไม่ ดังนั้นการรับเป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยทั่วๆ ไป โจทก์ย่อมกระทำได้โดยชอบ แต่สำหรับกรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินในคดีนี้ ปรากฏจากฟ้องข้อ 4 ว่า โจทก์ได้รับจัดการซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด (บริษัทโจทก์) จำนวน 200 หุ้น ตามคำสั่งของจำเลยเป็นเงิน 307,224 บาท โจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นแทนจำเลยไปแล้วโดยผ่านทางบริษัทในเครือของโจทก์ กับจำเลยแสดงเจตนาซื้อลูกหุ้นของบริษัทโจทก์ 200 หุ้นอีกเป็นเงิน 60,000 บาท ซึ่งโจทก์ยอมรับตามคำฟ้องว่าธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจพบว่าการที่โจทก์ให้ลูกค้ากู้ยืมเงินซื้อหุ้นของบริษัทโจทก์เองเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงให้ลูกค้าติดต่อกู้ยืมเงินจากบริษัทในเครือแทน ดังนั้น แม้โจทก์จะหลีกเลี่ยงโดยให้จำเลยไปกู้ยืมเงินจากบริษัทในเครือของโจทก์แทน ก็เท่ากับว่าโจทก์เองเป็นผู้ให้จำเลยกู้ยืมเงินไปซื้อหุ้นของบริษัทโจทก์ นอกจากนี้จำเลยต้องจำนำหุ้นไว้เป็นประกันเงินที่โจทก์ทดรองจ่าย ถึงแม้โจทก์จะอ้างว่าเป็นการจำนำหุ้นแก่บริษัทในเครือก็ตาม แต่โจทก์ก็ยึดถือหุ้นนั้นไว้ดังปรากฏจากคำฟ้องข้อ 2 ซึ่งมีผลเท่ากับว่าโจทก์รับเอาหุ้นของบริษัทโจทก์ไว้เป็นประกันนั่นเอง อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1143 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ห้ามบริษัทจำกัดรับจำนำหุ้นของตนเอง ทั้งต่อมาได้มีพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 20(3) บัญญัติห้ามมิให้บริษัทเงินทุนรับหุ้นของบริษัทเงินทุนนั้นเป็นประกัน หรือรับหุ้นของบริษัทเงินทุนจากบริษัทเงินทุนอื่นเป็นประกันอีกด้วย เห็นว่าการที่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินไปในการซื้อหุ้นของบริษัทโจทก์เอง โดยโจทก์ยึดถือหุ้นนั้นไว้เป็นประกันเงินที่ทดรองจ่ายซื้อหุ้นแทนลูกค้าเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามมาตรา 1143 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าวและขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ไม่มีผลบังคับโจทก์จะอ้างเป็นมูลเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงินตามที่ฟ้องหาได้ไม่ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share