คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดภายใน 1 ปีแล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดอยู่จนกว่าคดีจะได้วินิจฉัยถึงที่สุดหรือเสร็จไปโดยประการอื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 175 แม้โจทก์จะยื่นฟ้องเพิ่มเติมเมื่อพ้น 1 ปีนับแต่วันละเมิดแต่ก่อนวันที่ศาลชี้สองสถาน ทั้งเป็นฟ้องที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ โจทก์จึงเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 ฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำฟ้องเดิมของโจทก์ได้กล่าวถึงบุตรผู้เยาว์ทั้งสองและเรียกร้องค่าเสียหายของรถยนต์เก๋งอันเป็นมรดกตกทอดแก่ผู้เยาว์ทั้งสอง แสดงว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีแทนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองมาตั้งแต่ต้นแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสนิท ใจหลัก มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นางสาวคณิตา ใจหลัก อายุ 17 ปี และเด็กชายอาเซีย ใจหลัก อายุ 13 ปี จำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของนายมาก พ่วงขำจำเลยที่ 2 เป็นบริษัทรับประกันภัยและได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ไว้ทั้งตัวรถยนต์และเพื่อบุคคลที่สามอย่างละ 50,000 บาท นายมาก พ่วงขำ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ไปในตามทางการที่จ้าง นายมากขับรถโดยประมาทโดยความเร็วสูงผ่านทางโค้งไม่ชะลอความเร็วล้ำเส้นกึ่งกลางถนนไปชนรถยนต์ที่นายสนิท ใจหลัก ขับสวนทางมา เป็นเหตุให้รถยนต์ถูกชนพังเสียหาย นายสนิทถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งนั่งไปในรถได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่รถถูกชน ค่าทำศพค่ารักษาพยาบาลโจทก์ ค่าขาดไร้อุปการะสำหรับโจทก์และบุตรผู้เยาว์ รวมเป็นเงิน 1,188,000 บาทแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์มิใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายสนิท ใจหลัก เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของนายสนิท ค่าเสียหายไม่ถึงจำนวนที่โจทก์ฟ้อง บุตรที่ขาดไร้อุปการะมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสนิทและโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะแทนบุตร คำฟ้องและที่แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องขาดอายุความ หากจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดก็ไม่เกิน 100,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 320,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในจำนวน 100,000 บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ในส่วนที่เรียกค่าขาดไร้อุปการะสำหรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองขาดอายุความ พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย220,000 บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 100,000 บาท

โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายมากลูกจ้างจำเลยที่ 1 ทำละเมิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2519 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้ร่วมกันรับผิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2520 จึงฟังได้ว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นายมากลูกจ้างจำเลยที่ 1 ทำละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องคดียังศาลแล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดอยู่จนกว่าคดีจะได้วินิจฉัยถึงที่สุดหรือเสร็จไปโดยประการอื่นดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 175 ดังนั้นแม้โจทก์จะยื่นฟ้องเพิ่มเติมเรียกค่าทำศพผู้ตายเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2520 และยื่นฟ้องเพิ่มเติมเรียกค่าเสียหายรถยนต์เก๋งเพิ่มจากที่เรียกไว้เดิม และเรียกค่าขาดไร้อุปการะสำหรับตัวโจทก์และสำหรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองของโจทก์เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2520 ก็ตาม ฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ซึ่งได้ยื่นก่อนวันศาลทำการชี้สองสถานก็เป็นฟ้องเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ โจทก์ชอบที่จะเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมต่อศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 ฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความโดยผลตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 175 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ในส่วนที่เรียกค่าขาดไร้อุปการะสำหรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองขาดอายุความโดยตั้งเป็นข้อสมมติขึ้นพิจารณาว่าหากบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแยกฟ้องต่างหากจากที่โจทก์ฟ้องคดีก็ขาดอายุความเพราะพ้นหนึ่งปีนับแต่ละเมิด คดีจึงขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะตามคำฟ้องเดิมของโจทก์ได้กล่าวถึงบุตรผู้เยาว์ทั้งสองและเรียกร้องค่าเสียหายของรถยนต์เก๋งของนายสนิท ใจหลัก อันเป็นมรดกตกทอดแก่ผู้เยาว์ทั้งสอง แสดงว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีแทนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองมาตั้งแต่ต้นแล้ว จึงไม่มีข้อที่จะต้องพิจารณาว่า หากผู้เยาว์ทั้งสองเป็นโจทก์แยกฟ้องต่างหากจากที่โจทก์ฟ้องคดีก็ขาดอายุความตามที่ศาลอุทธรณ์ตั้งเป็นข้อสมมติขึ้นนั้นแต่อย่างใด

พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ

Share