คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2018/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประจักษ์พยานโจทก์ให้การในชั้นสอบสวนยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย ทั้งเมื่อพนักงานสอบสวนนำตัวจำเลยมาให้พยานดูตัวพยานก็ยืนยันอีกว่าจำเลยเป็นคนร้ายและลงชื่อไว้ในบันทึกการจับกุมแต่มาชั้นศาล พยานกลับเบิกความบ่ายเบี่ยงไปว่าตอนพนักงานสอบสวนนำตัวจำเลยมาให้ดูนั้น พยานดูแล้วบอกพนักงานสอบสวนว่า จำเลยคล้ายๆคนร้าย เห็นได้ชัดว่าพยานเบิกความชั้นศาลเพื่อช่วยเหลือจำเลย คำเบิกความของพยานในชั้นศาลน่าจะไม่เป็นความจริง ส่วนคำยืนยันและคำให้การชั้นสอบสวนของพยานนั้น โจทก์มีพนักงานสอบสวนมาเบิกความยืนยันว่า ชั้นสอบสวนพยานได้ยืนยันและให้การดังกล่าวน่าจะเป็นความจริงและรับฟังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 5 คนร่วมกันใช้อาวุธปืนทำการปล้นเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 10 ปี

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีนางด้วงเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่าร้อยตำรวจเอกจันทร์นำจำเลยทั้งสองมาให้พยานดู พยานดูแล้วบอกว่าคล้าย ๆ คนร้าย แต่ในชั้นสอบสวนพยานให้การยืนยันว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้ และเมื่อร้อยตำรวจเอกจันทร์นำจำเลยทั้งสองไปให้พยานดูตัว พยานก็ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้ และได้ลงชื่อไว้ในบันทึกการจับกุม ครั้นเมื่อเบิกความต่อศาล พยานกลับเบิกความว่าจำเลยทั้งสองคล้าย ๆ คนร้าย ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าสว่างพอที่พยานจะเห็นหน้าและจำกันได้ คนร้ายทำการปล้นอยู่นานถึง 20 นาที น่าเชื่อว่าพยานจำหน้าคนร้ายได้การที่พยานมาเบิกความต่อศาลบ่ายเบี่ยงไปเช่นนี้ พยานไม่ได้ให้เหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่ตรงกับที่เคยยืนยันไว้เมื่อคราวดูตัวผู้ต้องหาและคำให้การชั้นสอบสวน เห็นได้ชัดว่าพยานเบิกความต่อศาลบ่ายเบี่ยงเพื่อช่วยเหลือจำเลย คำเบิกความของพยานในชั้นศาลจึงน่าจะไม่เป็นความจริงส่วนคำยืนยันของพยานเมื่อดูตัวจำเลยทั้งสองและคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวนั้น โจทก์มีร้อยตำรวจเอกจันทร์ซึ่งเป็นผู้สอบสวนพยานให้การยืนยันว่าพยานยืนยันและให้การไว้ในชั้นสอบสวนดังกล่าวน่าจะเป็นความจริงรับฟังได้

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share