แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดี ในคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองที่ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยนั้นได้แนบใบมอบอำนาจและสัญญากรมธรรม์ประกันภัยมาท้ายคำฟ้องด้วยจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ฉะนั้น แม้ชื่อในใบมอบอำนาจและในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยจะไม่ตรงกับชื่อโจทก์ในคำฟ้อง แต่ก็มีเหตุให้เชื่อได้ว่าความจริงเป็นคนเดียวกัน โจทก์ที่ 1 จึงอาศัยใบมอบอำนาจดังกล่าวฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ที่ 2 ได้
เมื่อจำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องร้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายตามสัญญาดังกล่าวได้โดยมิต้องคำนึงว่าโจทก์จะได้เป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้หรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ใช้ชื่อว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีพูนทรัพย์ คดีนี้โจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์ที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 1 ได้นำไปประกันภัยไว้กับจำเลยในนามของโจทก์ที่ 2 ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย รถยนต์ดังกล่าวได้ถูกคนร้ายปล้นไปและถอดเอาอุปกรณ์ประจำไปเกือบทั้งหมด จำเลยแจ้งให้โจทก์จ่ายเงินค่าซ่อมแซมไปก่อน โจทก์จึงได้นำไปซ่อมและออกเงินไปก่อนเป็นจำนวน 109,851 บาท แต่จำเลยไม่ยอมชดใช้ให้ จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจแต่งตั้งทนายความฟ้องร้องในนามของโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยโจทก์ไม่เสียหายดังฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ที่ 2 จำนวน100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2522เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 27 กันยายน 2522
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1แทนโจทก์ที่ 2 ว่า ตามใบมอบอำนาจท้ายฟ้องนั้น โจทก์ที่ 1 ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนี้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีพูนทรัพย์ (1972) โดยนายปรีดา รวมเมฆ หุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นผู้มอบอำนาจ แต่โจทก์ที่ 2 ใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีพูนทรัพย์ซึ่งไม่ตรงกันกับชื่อของห้างหุ้นส่วนฯ ตามใบมอบอำนาจ โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2ที่ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัย นั้น โจทก์ทั้งสองได้แนบใบมอบอำนาจและสัญญากรมธรรม์ประกันภัยมาท้ายคำฟ้องด้วย ใบมอบอำนาจและสัญญากรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องคดีนี้ ฉะนั้น แม้ชื่อของห้างหุ้นส่วนฯ ตามใบมอบอำนาจและในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยจะไม่ตรงกันกับชื่อของห้างหุ้นส่วนฯ โจทก์ที่ 2 ในคำฟ้องซึ่งตกคำว่า “1972” ไปก็ตามแต่ก็มีเหตุให้เชื่อได้ว่าความจริงห้างหุ้นส่วนฯ โจทก์ที่ 2 ตามที่ระบุชื่อไว้ในฟ้องนั้นเป็นนิติบุคคลเดียวกันกับห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีพูนทรัพย์ (1972) ผู้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องและดำเนินคดีนี้แทนนั้นเอง โจทก์ที่ 1 จึงอาศัยใบมอบอำนาจท้ายฟ้องฟ้องและดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ที่ 2 ได้
จำเลยฎีกาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์อีกประการหนึ่งว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้จ่ายเงินค่าซ่อมแซมรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้แต่เพียงผู้เดียว โจทก์ที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าซ่อมแซมรถยนต์ได้จากจำเลย พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์ที่ 2 ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัย เมื่อข้อเท็จจริงรับกันแล้วว่าจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันตามฟ้องไว้จากโจทก์ที่ 2ต่อมาในระหว่างระยะเวลาประกันภัย รถยนต์คันนี้ถูกปล้นเอาไป อุปกรณ์ประจำรถได้รับการสูญหายไป ซึ่งตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยตกลงไว้ให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหาย ดังนี้ โจทก์ที่ 2 จึงมีสิทธิฟ้องร้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยนั้นได้ โดยมิพักต้องคำนึงว่าโจทก์ที่ 2 จะได้เป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถยนต์ไปเองหรือไม่ ฎีกาจำเลยเกี่ยวกับอำนาจฟ้องทั้ง 2 ข้อฟังไม่ขึ้น
วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 2 มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้เพียง93,500 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 เป็นจำนวน 93,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์