แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทนายโจทก์ยื่นฎีกาหลังจากที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้มรณะแล้ว แม้ทนายโจทก์จะมีอำนาจยื่นฎีกาแทนโจทก์ได้ก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่ามีผู้ใด(บุคคลที่ระบุไว้ในมาตรา 42ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง) ขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ จนล่วงเลยกำหนด 1 ปีนับแต่ทนายโจทก์ยื่นฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำหน่ายคดีคือฟ้องฎีกาของโจทก์เสียจากสารบบความได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กู้เงินจำเลยแล้วมอบที่นาของโจทก์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยโจทก์ขอไถ่ถอน จำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยรับชำระหนี้และคืนที่นา
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลยและมอบที่พิพาทให้จำเลยเข้าทำกิน โดยตกลงกันว่าจำเลยจ่ายเงินให้ครบเมื่อใดโจทก์จะไปยื่นคำร้องขอโอนที่พิพาทให้จำเลยผ่อนชำระจนครบแล้วโจทก์ไปยื่นคำร้องขอหนังสือรับรองทำประโยชน์ (น.ส.3) และขอขายที่พิพาทให้จำเลย แต่เมื่อครบกำหนดประกาศโฆษณา โจทก์ไม่ไปโอนขายให้จำเลย จำเลยได้ครอบครองโดยปรปักษ์แล้ว โจทก์ฟ้องเรียกคืนไม่ได้ ขอให้ศาลบังคับโจทก์โอนที่พิพาทให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษายกฟ้องโจทก์ บังคับตามฟ้องแย้งให้โจทก์ไปโอนที่พิพาทให้จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสำนวนปรากฏว่าฎีกาของโจทก์ซึ่งลงวันที่ 7 สิงหาคม 2515 นั้น นายพิศาล สมบูรณ์ศิลป์ ทนายโจทก์ลงชื่อเป็นผู้ฎีกา ศาลชั้นต้นได้รับไว้ในวันเดียวกัน ต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2515 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ความว่า โจทก์ถึงแก่กรรมก่อนที่ทนายโจทก์จะยื่นฎีกาทนายโจทก์จึงไม่มีอำนาจยื่นฎีกาแทนโจทก์ได้ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม ครั้นวันที่ 24 สิงหาคม 2515 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อม ทนายจำเลยแถลงว่าโจทก์ถึงแก่กรรมไปตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2515 ดังปรากฏตามสำเนาทะเบียนคนตายที่ส่งศาล ทนายโจทก์แถลงว่าไม่เคยทราบเรื่องตัวโจทก์ถึงแก่กรรมมาก่อน เพิ่งทราบตอนทนายจำเลยยื่นคำร้องคัดค้าน และได้สอบทายาทโจทก์ จึงได้ทราบแน่นอนว่าตัวโจทก์ถึงแก่กรรมไปแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทนายโจทก์ยื่นฎีกาหลังจากที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้มรณะแล้ว แม้ทนายโจทก์จะมีอำนาจยื่นฎีกาแทนโจทก์ได้ก็ตาม ศาลฎีกาก็ได้รอการพิจารณาคดีนี้เพื่อทายาทของผู้มรณะหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้มรณะ หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกไว้จะได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ จนถึงบัดนี้ล่วงเลยกำหนดหนึ่งปีนับตั้งแต่ทนายโจทก์ยื่นฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี คือฟ้องฎีกาของโจทก์เสียจากสารบบความ คืนค่าตัดสินและค่าคำบังคับ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ