คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2072/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บ้านเรือนที่จำเลยปลูกอยู่ที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินของโจทก์บังหน้าที่ดินของโจทก์ย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินติดต่อที่ชายตลิ่งเสียหาย คือไม่อาจใช้หรือรับประโยชน์จากที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณประโยชน์ส่วนนั้นได้ต่อไป ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อเรือนให้พ้นหน้าที่ดินของโจทก์เพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปได้จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีท่าน้ำเป็นสะพานคอนกรีตในที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ติดกันโดยโจทก์สามารถใช้สะพานนี้ลงคลองและใช้น้ำในคลองได้สะดวก โจทก์ไม่เสียหาย หาได้ไม่ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 คุ้มครองสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน)แต่ละแปลงไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 6257เดิมจำเลยได้อาศัยที่ดินแปลงนี้บางส่วนปลูกเรือนอาศัยทางด้านชายตลิ่งริมคลองขนอน ครั้นต่อมาได้รื้อออกจากที่ดินของโจทก์ไปต่อเติมบ้านเรือนเดิมของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินชายตลิ่งริมคลองขนอนซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินทั้งหลัง เป็นการกีดขวางที่ดินและหน้าที่ดินของโจทก์ทางด้านคลองขนอนทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินชายตลิ่งริมคลองขนอนไม่ได้เหมือนเดิม โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไปแล้ว จำเลยไม่ยอมรื้อ จึงขอให้พิพากษาให้จำเลยรื้อบ้านเรือนและชานเรือนออกไปให้พ้นหน้าที่ดินของโจทก์ห้ามเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า จำเลยปลูกเรือนอยู่อาศัยในที่ชายตลิ่งริมคลองขนอนอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินทางทิศใต้ของที่ดินโจทก์จนมีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย เรือนจำเลยและที่ต่อเติมขยายออกไปไม่ได้บังหน้าที่ดินของโจทก์ โจทก์จะใช้ที่ดินด้านนี้ลงคลองขนอนได้สะดวก โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้อง

ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำแผนที่พิพาทและไปเผชิญสืบที่พิพาทแล้วให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย พิพากษาให้จำเลยรื้อบ้านเรือนและชานเรือนของจำเลยออกไปให้พ้นหน้าที่ดินโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากแผนที่พิพาทและการไปเผชิญสืบยังไม่อาจฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจริงหรือไม่ ควรให้มีการสืบพยานในประเด็นที่ว่านี้ พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานในประเด็นที่ว่าการที่จำเลยปลูกเรือนบังหน้าที่ดินโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเกินควรจริงหรือไม่ แล้วพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความเกี่ยวกับสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งที่พิพาทพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดสิทธิของโจทก์จำเลยที่โต้เถียงกันตามมาตรา 1337 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้แล้ว และเห็นควรพิจารณาคดีนี้ไปโดยไม่สมควรต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบและตามแผนที่พิพาทว่า เรือนจำเลยปลูกอยู่ชายตลิ่งริมคลองขนอน หน้าที่ดินของโจทก์โฉนดที่ดิน 6257 จำเลยปลูกเรือนอยู่เกือบเต็มหน้าที่ดินของโจทก์ หน้าที่ดินของโจทก์ยาวตามริมคลองขนอนประมาณ 10 วาหรือ 20 เมตร ตัวเรือนของจำเลยยาว 11.35 เมตร กว้าง 5.90 เมตร ชานเรือนยาว 4 เมตร และมีบันไดทอดจากชานเรือนของจำเลยไปสุดเขตที่ดินของโจทก์ด้านทิศใต้ สุดแนวเขตที่ดินโจทก์ ด้านทิศใต้ต่อกับที่ชายตลิ่งมีกอไผ่ขนาดใหญ่ 1 กอขึ้นอยู่ และมีรั้วไม้กระดานกั้นยาว 1.50 เมตร คงเหลือทางตอนเหนือระหว่างระเบียงบ้านโจทก์กับระเบียงบ้านจำเลยซึ่งห่างกันประมาณ 1 เมตร เห็นว่า บ้านเรือนที่จำเลยปลูกอยู่ที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินของโจทก์บังหน้าที่ดินของโจทก์ เช่นนี้ ย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินติดต่อที่ชายตลิ่งเสียหาย คือ ไม่อาจใช้หรือรับประโยชน์จากที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณประโยชน์ส่วนนั้นได้ต่อไป ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อเรือนให้พ้นหน้าที่ดินของโจทก์เพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปได้ จำเลยว่าโจทก์มีท่าน้ำเป็นสะพานคอนกรีตกว้างประมาณ 1.50 เมตร ยาว 3 เมตรทอดลงคลองขนอน โจทก์สามารถใช้สะพานนี้ลงคลองและใช้น้ำในคลองได้สะดวกโจทก์ไม่เสียหายนั้น เห็นว่า สะพานดังกล่าวอยู่ในที่ดินโฉนดที่ 3571 ของโจทก์แม้จะอยู่ติดกันก็แยกเป็นอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน) คนละแปลงกัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 คุ้มครองสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน) แต่ละแปลงไป จำเลยจะอ้างสะพานที่อยู่นอกที่ดินแปลงที่พิพาทนี้มายังโจทก์ไม่ได้ พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share