คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1527/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกู้เงินโจทก์ไป. โดยเอาที่ดินจำนองเป็นประกันหนี้ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 75 สตางค์ต่อเดือน ส่งดอกเบี้ยทุกๆ เดือน ถ้าผู้กู้ผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ย ผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้าเป็นต้นเงิน อันผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันดังนี้ เป็นการให้คิดดอกเบี้ยกันได้ทันทีที่ผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเดือนที่ค้าง ข้อความที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญากู้โดยการจำนองรายนี้ จึงฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 และเป็นโมฆะ(อ้างฎีกาที่ 543/2510) โจทก์จึงเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยไม่ได้ คงคิดดอกเบี้ยได้อย่างธรรมดาในอัตราร้อยละ 75 สตางค์ต่อเดือนและเมื่อได้ตกลงกันชัดแจ้งเช่นนี้ จะถือว่าคู่สัญญามิได้มีเจตนาให้คิดดอกเบี้ยทบต้นในทันทีที่ผิดนัด และข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยทบต้น ไม่เป็นโมฆะหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้กู้เงินโจทก์ไป 354,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 75 สตางค์ต่อเดือน จำเลยสัญญาว่าจะส่งดอกเบี้ยให้โจทก์ทุกเดือนถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์คำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเป็นเงินต้น และจำเลยได้นำที่ดินโฉนดที่ 5452 มาจำนองค้ำประกันเงินกู้ไว้ จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยรวม 19 เดือนเป็นเงิน 50,445 บาทนับตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2509 เป็นต้นมา จำเลยมิได้ชำระดอกเบี้ยกับต้นเงินให้โจทก์อีกเลย จำเลยทำสัญญาเป็นหนังสือให้โจทก์ทบดอกเบี้ยที่ค้างชำระเข้าเป็นต้นเงินได้ คิดคำนวณตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2509 ถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2512 เป็นเงินที่จำเลยค้างชำระต้นเงินที่ทบดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน 354,705 บาท 81 สตางค์ และค้างชำระดอกเบี้ยที่ยังไม่ได้นำมาทบต้นเงินอีก 29,478.12 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 384,183.93 บาท โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระหนี้จำนองรายนี้ ขอศาลพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงิน 354,705.81 บาท และดอกเบี้ยค้างชำระ 29,478.12 บาท รวมเป็นเงิน 384,183.93 บาท ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยทบต้น อัตราร้อยละ 75 สตางค์ต่อเดือน ในต้นเงิน 354,705.81 บาท และของจำนวนเงิน ดอกเบี้ยที่ค้างชำระซึ่งทบเป็นต้นเงินได้ตามกฎหมาย จำเลยค้างชำระในขณะฟ้องและจะค้างต่อไปทั้งหมดนับตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2512 เป็นต้นไป จนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ชำระ ขอให้นำที่ดินจำนองโฉนดที่ 5452, 5823 และ 5826 ขายทอดตลาด เอาเงินชำระหนี้โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเพิ่งค้างชำระดอกเบี้ยโจทก์ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2512 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 4 เดือนครึ่ง ในยอดเงินต้น 151,800 บาท เป็นเงิน 5,121 บาท เหตุที่ต้องค้างดอกเบี้ยในระยะนั้น เพราะโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างเป็นจำนวนเงินมากกว่าความเป็นจริง จำเลยขอคิดบัญชี โจทก์ไม่ยอม จำเลยขอชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ โจทก์ก็ไม่ยอมรับจำเลยได้บอกกล่าวให้โจทก์รับชำระหนี้ที่ค้าง 151,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่เหลือเพื่อไถ่ถอนจำนองโจทก์ก็ไม่ยอม ขอให้ยกฟ้อง และขอให้ศาลบังคับโจทก์รับชำระหนี้เป็นเงินต้น 151,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย 5,121 บาท กับให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองคืนโฉนดให้จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยคงเป็นหนี้เงินต้นโจทก์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2509 เป็นเงิน 285,812.89 บาท และเมื่อคิดดอกเบี้ยทบต้นตามข้อตกลงนับตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2509 ถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2512 จำเลยค้างชำระต้นเงิน 354,705.81 บาท ดอกเบี้ย 29,474.12 บาท รวมเป็นเงิน 384,183.93 บาท

วันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยตกลงกันโดยจำเลยจะชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2513 รวมเป็นเงิน 404,579.51 บาทให้โจทก์ในระหว่างคดีไปพลางก่อน เมื่อผลแห่งคดีถึงที่สุดเป็นประการใด ก็ให้จำเลยชำระไปตามนั้น จำเลยได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าว และได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2513

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนจำนองด้วยเงินสุทธิ 401,106.74 บาท คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้ง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า ให้จำเลยไถ่ถอนจำนองในต้นเงิน 283,998.49 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 75 สตางค์ต่อเดือนนับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2513

โจทก์ฎีกา

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2506 จำเลยทั้งสองได้กู้เงินโจทก์ไป 354,000 บาท โดยเอาที่ดินจำนองเป็นประกันหนี้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 75 สตางค์ต่อเดือน ให้ส่งดอกเบี้ยทุก ๆ เดือนไปถ้าผู้กู้ผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยดังกล่าว ผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้าเป็นต้นเงิน อันผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันจำเลยทั้งสองได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ และคงเป็นหนี้ต้นเงินโจทก์อยู่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2509 เป็นเงิน 283,998.49 บาท ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2513 จำเลยจึงชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 404,579.51 บาท ให้โจทก์ในระหว่างคดีไปพลางก่อนตามที่ตกลงกันไว้

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญากู้ โดยการจำนองที่ 27/1122 ข้อ 1 ก็ดีตามสัญญาต่อท้ายสัญญาดังกล่าว ข้อ 2 ก็ดี ให้ส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนตลอดไปทุก ๆ เดือน และตามสัญญาต่อท้ายข้อ 2 ยังระบุว่าถ้าผู้จำนองผิดนัดชำระดอกเบี้ยที่กล่าวนี้ให้ผู้รับจำนองคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเป็นเงินต้นด้วย ดังนั้นจึงเห็นว่า การคิดดอกเบี้ยทบต้นตามที่ตกลงกันนี้ เป็นการให้คิดดอกเบี้ยได้ทันที่ที่ผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเดือนที่ค้าง ข้อความที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญากู้โดยการจำนองรายนี้ จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 และเป็นโมฆะตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 543/2510 โจทก์จึงเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากลูกหนี้ไม่ได้ คงคิดดอกเบี้ยอย่างธรรมดา ในอัตราร้อยละ 75 สตางค์ต่อเดือน และเมื่อได้ตกลงกันชัดแจ้งเช่นนี้ จะถือว่าคู่สัญญามิได้มีเจตนาให้คิดดอกเบี้ยทบต้นในทันทีที่ผิดนัด และข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยทบต้นไม่เป็นโมฆะหาได้ไม่

ส่วนที่ว่าจะคิดดอกเบี้ยให้ตั้งแต่เมื่อไรนั้น เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์คิดดอกเบี้ยให้นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2513 นั้น คลาดเคลื่อนต้องคิดดอกเบี้ยให้นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2509 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2513

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะดอกเบี้ย เป็นให้คิดนับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2509 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2513 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share