แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหัวหน้ายาม เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ตายผู้ตายไม่ได้อยู่ยามตามหน้าที่ จำเลยสอบถามดูแต่โดยดี ผู้ตายกลับพูดทำนองไม่ยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้า และตรงเข้าต่อยเตะจำเลยทันที การที่จำเลยชกต่อยตอบโต้ไปบ้างย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่จะป้องกันได้ หาจำต้องให้ผู้ตายทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน และเมื่อผู้ตายเตะต่อยจำเลยล้มลงไปแล้วยังยืนรอจะทำร้ายจำเลยอีก พอจำเลยลุกขึ้นผู้ตายได้แทงจำเลยอีก 2 ครั้ง ครั้งที่สองถูกหน้าท้องถึงไส้ไหลจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด ในระยะห่าง 1 วา ขณะที่ผู้ตายขยับจะแทงเอาอีก หากจำเลยไม่ยิงผู้ตายก็อาจเข้าทำร้ายจำเลยถึงตายได้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 91 และพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72แก้ไข (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3
จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายส่วนข้อหาฆ่าผู้ตาย ต่อสู้ว่ากระทำโดยป้องกัน
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกับผู้ตายได้เกิดการวิวาทชกต่อยกันแล้วใช้อาวุธทำร้ายซึ่งกันและกัน จำเลยจะอ้างว่ากระทำโดยป้องกันไม่ได้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 91จำคุก 20 ปี และผิดพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72แก้ไข (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 จำคุก 6 เดือน จำเลยรับข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุก 15 ปี 4 เดือน 15 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันชีวิตพอสมควรแก่เหตุหาใช่เรื่องวิวาทกันไม่ จำเลยไม่มีความผิด พิพากษาแก้ให้ยกข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ผู้ตายเป็นยาม จำเลยเป็นหัวหน้ายาม คืนเกิดเหตุเวลา 21.00 น.เศษ จำเลยไปตรวจยาม ปรากฏว่าผู้ตายไม่ได้อยู่ยามต่อมาประมาณ 10 นาที พบผู้ตายเดินกลับจากตลาดมีอาการเมาสุราจำเลยถามผู้ตายว่า “ประจวบ ลื้อไปไหนมา ไม่อยู่ยาม” ผู้ตายตอบว่า”อั๊วจะอยู่ก็ได้ ไม่อยู่ก็ได้” พูดแล้วผู้ตายก็ตรงเข้าเตะต่อยจำเลย แล้วต่างฝ่ายต่างชกต่อยกันจำเลยล้มลง ผู้ตายยืนรออยู่ พอจำเลยลุกขึ้น ผู้ตายก็เอาเหล็กขูดชาฟท์แทงจำเลย 2 ครั้ง ครั้งที่สองถูกที่หน้าท้อง ไส้ไหล แล้วจำเลยดึงปืนออกจากเอวยิงผู้ตาย 1 นัดวินิจฉัยว่าการที่จำเลยสอบถามผู้ตายถึงเรื่องผู้ตายไม่อยู่ยามตามปกติแต่โดยดี ผู้ตายกลับพูดทำนองไม่ยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าและตรงเข้าต่อยเตะจำเลยทันที ที่จำเลยชกต่อยตอบโต้ไปบ้างย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่จะป้องกันได้ หาจำต้องให้ผู้ตายทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน และเมื่อผู้ตายเตะต่อยจำเลยล้มลงไปแล้วยังยืนรอจะทำร้ายจำเลยอีก พอจำเลยลุกขึ้น ผู้ตายได้แทงจำเลยถึง 2 ครั้ง ครั้งที่สองถูกหน้าท้องถึงไส้ไหล จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด ในระยะห่าง 1 วา ขณะผู้ตายขยับจะแทงเอาอีก ถ้าหากจำเลยไม่ยิงผู้ตายก็อาจเข้าทำร้ายจำเลยถึงตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
พิพากษายืน