คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์รู้ดีอยู่แล้วในขณะทำสัญญาซื้อขายว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งไม่อาจโอนให้แก่กันได้โจทก์ยังชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ขายที่ดินให้โจทก์หนึ่งแปลงราคา 25,000 บาท อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โจทก์หลงเชื่อจึงได้ตกลงซื้อและชำระเงินให้ไป ต่อมาโจทก์ติดต่อให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยทั้งสองผัดผ่อนเรื่อยมา โจทก์แจ้งความขอให้ผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านนาสารไกล่เกลี่ย เรียกร้องค่าเสียหาย 6,000 บาท ฝ่ายจำเลยยินยอมให้เพียง 2,500 บาท จึงตกลงกันไม่ได้ ความจริงที่ดินแปลงนี้เป็นของรัฐ หากจำเลยทั้งสองบอกให้โจทก์รู้ก่อน โจทก์ก็จะไม่ซื้อการปกปิดความจริงนี้ จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงเงิน 25,000 บาท ของโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 ให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน 25,000 บาท และค่าเสียหาย 2,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในต้นเงิน 27,500 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

คดีส่วนอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งคดีมีมูล

จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ได้หลอกลวงหรือปิดบังความจริงโจทก์รู้ดีว่าที่ดินที่ซื้อขายเป็นป่ารัฐบาล เนื่องจากมีแนวเขตประกาศไว้โดยเปิดเผย เป็นที่รู้ชัดแจ้งกันทั่วทั้งตำบล แต่จำเลยที่ 2 โก่นสร้างมีผลอาสินเต็มเนื้อที่ 24 ไร่แล้ว จึงตกลงขายสิทธิบนพื้นดินในราคา 2,500 บาทให้โจทก์ แต่โจทก์ลงไว้ในสัญญาเป็นเงิน 25,000 บาท และใช้กลอุบายหลอกลวงให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อในสัญญาจำเลยที่ 2 พร้อมเสมอที่จะให้โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาท แต่โจทก์ไม่ประสงค์ ประสงค์จะเอาเงิน 25,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ต้องการให้เรื่องยุ่งยากจึงยอมรับซื้อคืน 2,500 บาท ตามที่เป็นจริงโจทก์จะเอา 6,000 บาทจึงไม่ตกลงกัน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์รู้อยู่แล้วว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง จำเลยมิได้ปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้งโจทก์ยอมเสี่ยงภัยรับเอาสิทธิครอบครองเท่าที่จำเลยมีอยู่และจำเลยที่ 2 ได้มอบการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์แล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินคืน พิพากษายกฟ้องทั้งส่วนแพ่งและส่วนอาญา ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 700 บาท แทนจำเลยทั้งสอง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์เสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง 100 บาท

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในส่วนอาญา คงให้รับฎีกาเฉพาะส่วนแพ่ง

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าที่ทางราชการได้ประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งจำเลยได้เข้าครอบครองและปลูกต้นยางไว้ เนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ แล้วจำเลยที่ 2 ขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์โดยทำสัญญากันเองตามสำเนาสัญญาซื้อขายท้ายฟ้อง และคดีส่วนอาญาฐานฉ้อโกงนั้น ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์รู้ดีว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยไม่ได้ปกปิดความจริง ซึ่งการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จึงมีปัญหาในชั้นนี้ว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเงินค่าที่ดินคืนได้หรือไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่จำเลยเข้าไปครอบครอง หาทำให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองอันจะโอนให้แก่กันได้ไม่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้แตกต่างกับข้อเท็จจริงในคำพิพากษาฎีกาที่ 1626/2511 ระหว่างนายทองทศ อินทรทัต โจทก์ นางสมจิตต์ วุฒิเสถียร กับพวก จำเลย เพราะที่พิพาทในคดีดังกล่าวเป็นที่ดินริมทะเลซึ่งจำเลยมีสิทธิครอบครองที่อาจใช้ยันกับบุคคลอื่นได้นอกจากรัฐการที่จำเลยไม่อาจโอนสิทธิครอบครองให้โจทก์ได้นี้โจทก์ย่อมรู้ดีเพราะโจทก์กล่าวในฟ้องว่า ถ้าจำเลยบอกให้โจทก์รู้ว่าที่ดินที่นำมาขายให้โจทก์ไม่ใช่ของจำเลยแล้ว โจทก์จะไม่ซื้อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์รู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งไม่อาจโอนให้แก่กันได้ โจทก์ยังชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินคืนจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407

พิพากษายืนในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share