คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นความให้จำเลยโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะขายที่ดินที่เป็นความให้โจทก์ในราคาที่โจทก์ต้องออกค่าใช้จ่ายไป ในที่สุดจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 โดยจำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญาดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยที่โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีนั้นเลย ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์อุทธรณ์ว่าความจริงก่อนที่จำเลยจะเป็นความกับผู้มีชื่อ โจทก์ได้วางเงินมัดจำซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเมื่อจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมา โจทก์จำเลยจึงได้นำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม มาเขียนใหม่เป็นสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน และโจทก์ประสงค์จะนำสืบถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่า ก่อนที่จะมีการทำสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายนโจทก์จำเลยได้เคยทำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม กันไว้ ซึ่งสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบตามความในมาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงนำสืบสัญญาฉบับนี้ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 107, 108 พร้อมด้วยที่ดินใกล้ชิดติดต่อ เนื้อที่รวมกันประมาณ 13 ไร่ เป็นของจำเลยเมื่อประมาณ 10 ปีกว่ามานี้จำเลยได้เอาที่ดินดังกล่าวไปทำสัญญาขายให้แก่นายวิวัฒน์ เยือกเย็น และภรรยา แต่จำเลยยังคงครอบครองที่ดินอยู่ต่อมาเมื่อปี 2509 นายวิวัฒน์และภรรยาได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวก ฐานผิดสัญญาซื้อขายและเรียกค่าเสียหาย เมื่อจำเลยกับพวกถูกฟ้อง จำเลยจึงได้มาติดต่อกับโจทก์ขอให้หาทนายแก้ต่าง และขอให้ออกค่าใช้จ่ายทั้งปวงให้ โดยจำเลยจะขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ตามราคาที่โจทก์ต้องเสียไป โจทก์ตกลงจะได้จ้างทนายว่าคดีให้จำเลยกับพวก ในที่สุดได้ยอมกันในศาลโดยจำเลยจะต้องชำระเงิน 20,000 บาท ให้แก่นายวิวัฒน์และภรรยาแล้วได้ที่ดินพิพาทคืนจำเลยหาเงินไม่ได้โจทก์จึงเป็นผู้ออกเงินจำนวนนี้มอบให้จำเลยไปชำระแก่นายวิวัฒน์และภรรยาตามสัญญายอมอีก แล้วโจทก์ให้จำเลยทำหนังสือสัญญาซื้อขายลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ โดยตีราคาเพียง 10,000 บาท เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2510 จำเลยได้นำ ส.ค.1 เลขที่ 107, 108 ไปยื่นคำร้องต่อพนักงานที่ดินเพื่อออกโฉนดตาม ส.ค.1 ดังกล่าว พร้อมด้วยที่ดินของจำเลยที่อยู่ติดต่อกันเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ เพื่อให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขาย เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดสอบเขตไว้แล้ว และในวันที่ 5 เมษายน 2510 จำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไว้ 2 ฉบับ เพื่อว่าเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดใหม่เสร็จเมื่อใด โจทก์จะได้เอาใบมอบอำนาจไปยื่นขอรับโฉนดและโอนใส่เป็นชื่อโจทก์ จำเลยไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย แต่แล้วในเดือนพฤษภาคม 2510 จำเลยกลับนำนายปลอดเข้าไปในที่ดินแปลงนั้นเอาหลักปักปันเขตแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนละประมาณ 6 ไร่ จำเลยว่าจะขายให้โจทก์เพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งจะขายให้นายปลอดโจทก์ต่อว่าว่าจำเลยผิดสัญญา จำเลยว่าถ้าไม่ขายให้นายปลอดครึ่งหนึ่งจำเลยก็ไม่ขายให้โจทก์เลย เจ้าพนักงานที่ดินได้แจ้งแก่โจทก์ว่าจำเลยได้มาสั่งไว้ว่าถ้าโจทก์ยื่นหนังสือมอบอำนาจเมื่อใด อย่าทำการโอนที่ดินให้ และให้เก็บหนังสือมอบอำนาจไว้ให้ พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยจงใจผิดสัญญาฉ้อโกงเอาเงินของโจทก์และขัดขวางการเข้าครอบครองที่ดินของโจทก์ตามสัญญาซื้อขาย โดยจำเลยเข้าแย่งการครอบครองที่ดินที่ส่งมอบให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว บังคับให้จำเลยไปจัดการออกโฉนด และโอนที่ดินตามโฉนดที่จะออกใหม่นั้นให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์จัดการไปฝ่ายเดียวได้ และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงนี้

จำเลยให้การว่า คดีแพ่งที่นายวิรัตน์และภรรยาเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยนั้น โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้หาทนายแก้ต่างให้จำเลย แต่นายปลอดแจ่มกระจ่าง เป็นผู้หาทนายให้จำเลยไม่เคยตกลงให้โจทก์ออกค่าใช้จ่ายทั้งปวงในการดำเนินคดี เงินที่จำเลยนำไปชำระให้นายวิวัฒน์และภรรยาจำเลยได้มาจากนายปลอด แจ่มกระจ่าง เพราะจำเลยได้ขายที่พิพาทให้นายปลอดไปเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2509 จำเลยไม่เคยตกลงขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ ไม่เคยรับค่าที่ดินจากโจทก์เลย หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินท้ายฟ้อง จำเลยไม่เคยทำไว้กับโจทก์ หากมีอยู่จริงก็เป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะเป็นสัญญาที่เกิดจากการแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความไม่อาจนำมาบังคับได้หนังสือมอบอำนาจที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้เพื่อไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินก็โดยโจทก์อ้างว่าจะไปจัดการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายระหว่างนายปลอดกับจำเลยแทนจำเลย แต่ต่อมาจำเลยทราบว่าโจทก์นำใบมอบอำนาจของจำเลยไปใช้เพื่อจัดการโอนที่ดินของจำเลยให้โจทก์เอง จำเลยจึงแจ้งต่อพนักงานที่ดินเพื่อระงับการมอบอำนาจนั้น ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่จำต้องสืบพยาน จึงให้งด แล้ววินิจฉัยว่า การที่โจทก์วิ่งเต้นออกเงินค่าใช้จ่ายตลอดจนหาทนายแก้ต่างให้จำเลยเพื่อสู้คดีกับบุคคลภายนอก โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะต้องโอนทรัพย์พิพาทที่จำเลยเป็นความกับบุคคลภายนอกให้โจทก์ ทั้งที่โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีนั้น ๆ เลย การกระทำของโจทก์จึงเป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะโจทก์จะอ้างสัญญาที่เป็นโมฆะมาฟ้องร้องบังคับจำเลยหาได้ไม่ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ว่า ความจริงนั้นโจทก์ได้วางมัดจำซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2509 ตามหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 ซึ่งโจทก์ได้อ้างส่งศาลเป็นพยานไว้แล้ว โดยในขณะนั้นโจทก์และจำเลยทราบว่ามีเนื้อที่ตาม ส.ค.1 เลขที่ 107, 108 เพียงประมาณ 7 ไร่เศษ และได้วางเงินให้แก่จำเลยเป็นงวด ๆ โดยโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยได้เคยนำไปขายไว้กับนายวิวัฒน์ เยือกเย็น และภรรยา ก่อนนายวิวัฒน์และภรรยาฟ้องจำเลยโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินตามสัญญาฉบับนั้นไปแล้ว 10,000 บาท และจำเลยได้มอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองด้วย เมื่อจำเลยถูกนายวิวัฒน์และภรรยาฟ้องเรื่องที่ดินแปลงนี้ โจทก์ก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียจึงจำเป็นต้องช่วยจำเลยในการสู้คดี หาทนายความให้ และเมื่อคดียอมความกันโจทก์ต้องออกเงิน 20,000 บาทเศษให้จำเลยไปชำระให้นายวิวัฒน์และภรรยาตามสัญญายอมความจึงได้เอาสัญญาวางมัดจำ ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 มาเขียนใหม่เป็นสัญญาซื้อขายลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 ในคดีที่จำเลยยอมความกับนายวิวัฒน์และภรรยานั้น ศาลได้สั่งให้ทำแผนที่วิวาทปรากฏว่าที่ดินเพิ่มจาก 7 ไร่เป็นประมาณ 13 ไร่ เมื่อโจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มไปอีก 20,000 บาท จำเลยก็ยอมให้ที่ดินหมดตามแผนที่วิวาท โจทก์ประสงค์จะนำสืบว่า สัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 มีที่มาจากสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 โจทก์ได้ซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้จริงและเสียเงินไปจริง สัญญาลงวันที่ 3 พฤศจิกายน จึงไม่เป็นโมฆะ โจทก์มีสิทธินำมาฟ้องจำเลยได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงการทำหนังสือซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 อันเป็นสัญญาก่อนที่จำเลยถูกนายวิวัฒน์และภรรยาฟ้องคดี จำเลยจึงไม่ได้ให้การถึงหนังสือสัญญาฉบับนั้นแต่อย่างใด แม้ในวันนัดชี้สองสถานทั้งที่โจทก์ทราบคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยแล้ว โจทก์ก็หาได้แถลงว่าได้มีการทำหนังสือสัญญาฉบับแรกนั้นไม่ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับแรกต่อกันหรือไม่ โจทก์จะขอนำสืบว่าสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 สืบเนื่องมาจากสัญญาฉบับแรกมิได้ และเห็นว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยในสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 ที่โจทก์นำมาฟ้องนั้น เป็นกรณีที่โจทก์หาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยโจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในคดีนั้นเลย จึงตกเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า แม้ในฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 อันเป็นที่มาของสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509ฟ้องก็สมบูรณ์ โจทก์ย่อมอ้างเป็นพยานหลักฐานได้ และโจทก์ก็ได้ระบุสัญญาฉบับนั้นไว้ในบัญชีพยานแล้วด้วย

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าการที่โจทก์จะนำสืบถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 ก็เป็นการนำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่า ก่อนที่จะมีการทำสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน2509 โจทก์จำเลยได้เคยทำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 กันไว้ซึ่งสัญญาฉบับนี้ถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(1) โจทก์จึงนำสืบสัญญาฉบับนี้ได้

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share