คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าเสียเวลาเนื่องจากไม่ได้ใช้ยานยนต์ซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยระบุยกเว้นความรับผิดของบริษัทประกันภัยสำหรับค่าเสียหายส่วนนี้ไว้ในสัญญาประกันภัยค้ำจุนนั้น เป็นคนละประเภทกับค่ารถแท็กซี่ที่โจทก์บุคคลภายนอกต้องเสียไประหว่างนำรถที่เสียหายเข้าซ่อมบริษัทจึงจะยกกรมธรรม์ข้อนี้ขึ้นอ้างเป็นข้อยกเว้นความรับผิดสำหรับค่าเสียหายประเภทนี้มิได้
ข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้บริษัทประกันภัยรับผิดในค่าลากจูงรถยนต์ไปอู่ซ่อมเพียงครึ่งของราคาที่จ่ายนั้นเมื่อบริษัทประกันภัยจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาใน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ย่อมต้องห้ามมิให้ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์เลขทะเบียน ร.บ.03292 ของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2508นายเที่ยง ม่วงเอี่ยม ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาท กล่าวคือขับด้วยความเร็วสูงเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ไปตามถนนสุขุมวิท โฉมหน้าไปทางจังหวัดสมุทรปราการห้ามล้อรถหยุดไม่ทันจึงชนท้ายรถยนต์โจทก์โดยแรง เป็นเหตุให้รถยนต์โจทก์ทั้ง ๆ ที่ห้ามล้ออยู่ เคลื่อนไปข้างหน้าและชนท้ายรถเก๋งหมายเลข ก.ท.ว 4664 ของร้อยตำรวจเอกประสาน แทนขำ ซึ่งจอดติดรถคันอื่นอยู่ข้างหน้ารถโจทก์ เป็นเหตุให้รถของโจทก์กับรถของร้อยตำรวจเอกประสานเสียหายเฉพาะรถโจทก์เสียหายทางด้านหน้า ด้านหลัง และส่วนอื่น ๆ อีกโจทก์ต้องเสียเงินค่าซ่อม ค่าเครื่องอะไหล่ และอุปกรณ์ทั้งสิ้น 17,475 บาท และเมื่อรถยนต์โจทก์ถูกชนใช้วิ่งไม่ได้ โจทก์ต้องเสียค่าแท็กซี่จากจังหวัดสมุทรปราการ กลับบ้านในวันเกิดเหตุเป็นเงิน 22 บาท เสียค่าลากจูงรถยนต์โจทก์จากจังหวัดสมุทรปราการมาอู่ซ่อมเป็นเงิน 200 บาท รถยนต์โจทก์เสียเวลาซ่อมรวม 50 วัน ระหว่างนั้นโจทก์ต้องเช่ารถยนต์ใช้ในงานธุรกิจ วันละ 80 บาท คิดค่าเสียหายเป็นเงิน 4,000 บาท และรถยนต์โจทก์ถูกชน ต้องเสื่อมราคาไปเป็นเงิน 20,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 41,697 บาทขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกัน ชำระค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสองให้การว่า นายเที่ยง ม่วงเอี่ยม ไม่ได้ขับรถประมาทชนรถโจทก์ดังฟ้อง สาเหตุที่ชนเพราะเหตุสุดวิสัย เนื่องจากคันห้ามล้อชำรุด ตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในเรื่องเสื่อมราคา ค่าเสียเวลา ค่าขาดประโยชน์ ค่าแท็กซี่ ค่าเช่ารถ จะรับผิดก็เพียงค่าเสียหายในการซ่อมรถไม่เกิน 1,000 บาท

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 41,697 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ได้เสียค่าซ่อมรถไปเป็นเงิน 17,475 บาทค่าลากจูงรถมาซ่อม รวมทั้งค่ารถแท็กซี่เป็นเงิน 222 บาท และค่ารถแท็กซี่ไปประกอบการงานระหว่างรถเข้าซ่อมเป็นเงิน 4,000 บาท ส่วนค่าเสื่อมราคาของรถที่ศาลชั้นต้นให้ใช้ค่าเสื่อมราคา 20,000 บาท สูงเกินไป ควรเป็น 10,000 บาท นายเที่ยงเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถไปในทางการที่จ้างจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้น ส่วนจำเลยที่ 1 ผู้รับประกันภัย ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุข้อยกเว้นว่า บริษัทไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับบุคคลภายนอกในสิทธิเรียกร้องใด ๆ อันเกี่ยวกับการขาดประโยชน์ ขาดการทำมาหาเลี้ยงชีพ ค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าเสื่อมสภาพแห่งทรัพย์สิน ค่าเสื่อมแห่งร่างกายหรือจิตใจ ค่าเสียเวลาเนื่องจากไม่ได้ใช้ยานยนต์หรือไม่ได้ใช้ทรัพย์สินที่เสียหายนั้น ๆ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในค่าเสียหายของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก คือค่าซ่อมรถ 17,475 บาท ค่ารถแท็กซี่กับค่าลากจูงรถไปซ่อม 222 บาท และค่ารถแท็กซี่ที่โจทก์ใช้ติดต่อการค้า 4,000 บาท ส่วนค่าเสื่อมราคาของรถที่ถูกชน ไม่ต้องรับผิด พิพากษาแก้ เป็นว่าให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหาย 31,697 บาทให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในค่าเสียหายดังกล่าวเพียง 21,697 บาท

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยยืนตามศาลล่างในข้อที่นายเที่ยงขับรถโดยความประมาท และในค่าสินไหมทดแทนประเภทค่าซ่อมรถ ค่าเสื่อมราคาค่าลากจูงรถไปอู่ซ่อมตามที่ศาลกำหนด และศาลฎีกาเห็นว่าค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เสียค่ารถแท็กซี่ไปประกอบการงานในระหว่างรถเข้าซ่อมหาเป็นประเภทเดียวกับค่าเสียเวลาเนื่องจากไม่ได้ใช้ยานยนต์นั้นเอง ตามที่กรมธรรม์ประกันภัยระบุเป็นข้อยกเว้นไว้ไม่ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวส่วนค่าลากจูงรถยนต์โจทก์มาอู่ซ่อมที่จำเลยที่ 1 ฎีกามาว่าจำเลยผูกพันตามกรมธรรม์ประกันภัย จะชดใช้ให้เพียงครึ่งหนึ่งของราคาที่จ่ายจริงนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มิได้ยกข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

พิพากษายืน

Share