คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บันทึกการประชุมของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลที่กระทำต่อหน้าปลัดอำเภอซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ ระบุให้จำเลยเช่านาทำต่อไปอีกเพียง 1 ปี นั้น ไม่ถือว่าการเช่านาของจำเลยสิ้นสุดก่อนกำหนดระยะเวลาการเช่านา ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 31(3)เพราะมติที่ประชุมดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นของคณะกรรมการมิได้มีความหมายว่าจำเลยตกลงเลิกการเช่านา ทั้งมิได้กระทำ ต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมาย ดังนั้น แม้ จำเลยจะลงลายมือชื่อในบันทึกการประชุมดังกล่าวต่อหน้าปลัดอำเภอ ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงเลิกการเช่านาต่อกัน นอกจากนี้การที่โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกการเช่านาไปยังจำเลยและประธานคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลนั้น ก็ปรากฏว่าคณะกรรมการยังมิได้พิจารณาการบอกเลิกการเช่าตามหนังสือดังกล่าวตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 34 และ 36 ได้บัญญัติไว้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิที่จะเสนอคดีต่อศาล การเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่สิ้นสุดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และ เรียกค่าเสียหายจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2785 ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เนื้อที่ 36 ไร่ 3 งาน 39.3 ตารางวา โดยได้รับการยกให้จากมารดา จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจากมารดาโจทก์เพื่อทำนาก่อนที่โจทก์จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ โดยมิได้ทำหนังสือสัญญาเช่า เมื่อรับโอนกรรมสิทธิ์แล้วโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบและบอกกล่าวให้ไปตกลงเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ และคณะกรรมการควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลได้กำหนดอัตราค่าเช่าสำหรับที่ดินพิพาทไร่ละ 10 ถังข้าวเปลือก ซึ่งเมื่อเสร็จฤดูการทำนา จำเลยจะต้องชำระข้าวเปลือกให้โจทก์รวม 360 ถัง ในปีการทำนา พ.ศ. 2524 จำเลยชำระให้เพียง 125 ถัง คงค้างชำระ 235 ถัง ราคาถังละ 32 บาท คิดเป็นเงิน 7,520 บาท ซึ่งจำเลยได้ต่อรองกับโจทก์ว่าโจทก์ต้องให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก 6 ปี จึงจะชำระค่าเช่าที่ค้างให้ทั้ง ๆ ที่จำเลยทราบดีว่า การเช่าสิ้นสุดลงตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 30(3) แล้ว ตามบันทึกรายงานการประชุมของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบล โจทก์จึงมอบให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยและคณะกรรมการดังกล่าว ขอให้จำเลยชำระค่าเช่าและบอกเลิกการเช่าจำเลยได้รับหนังสือแล้วแต่ไม่ปฏิบัติตาม จึงขอให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์ออกไปจากที่ดินพิพาท ให้ชำระค่าเช่าประจำปี พ.ศ. 2524 จำนวน 235 ถังข้าวเปลือก เป็นเงิน 7,520 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ใช้ค่าเสียหายอีกปีละ 38,400 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินพิพาท

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระค่าเช่าและไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 34, 35 และ 36

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารหรือไม่นั้น ปรากฏจากบันทึกการประชุมของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบล ที่กระทำต่อหน้าปลัดอำเภอ มีข้อความว่าที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ให้จำเลยผู้เช่านาทำต่อไปอีกเพียง 1 ปี มติที่ประชุมดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นของคณะกรรมการและไม่มีความหมายว่าจำเลยตกลงเลิกการเช่านา อันจะทำให้การเช่านาสิ้นสุดก่อนกำหนดระยะเวลาการเช่านา ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 มาตรา 31(3) นอกจากนี้ปลัดอำเภอก็เป็นเพียงผู้ที่นายอำเภอแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลเท่านั้น มิใช่นายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมาย ดังนั้น แม้จำเลยจะลงลายมือชื่อในบันทึกการประชุมต่อหน้าปลัดอำเภอ ก็ไม่ได้ว่าโจทก์กับจำเลยตกลงเลิกการเช่านาต่อกัน ส่วนข้อที่โจทก์อ้างว่าได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทไปยังจำเลยและประธานคณะกรรมการนั้น ปรากฏว่าคณะกรรมการยังมิได้พิจารณาบอกเลิกการเช่าตามหนังสือดังกล่าว ตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 34 และ 36 บัญญัติไว้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเสนอคดีต่อศาล การเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่สิ้นสุด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และเรียกเก็บค่าเสียหายจากจำเลย สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้ชำระค่าเช่านาประจำปี พ.ศ. 2524 ที่ค้างชำระหรือไม่นั้น เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเช่านาที่ยังค้างชำระอีก 125 ถัง ทั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการมีมติให้โจทก์เก็บค่าเช่านาเพียง 250 ถัง และโจทก์ได้รับชำระแล้ว 125 ถัง จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระส่วนที่เหลือได้ แต่เนื่องจากโจทก์ไม่ไปเรียกเก็บจากจำเลย จนจำเลยต้องร้องเรียนต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการมีมติให้จำเลยขายข้าวที่เป็นค่าเช่านา ซึ่งจำเลยก็ได้ขายข้าวดังกล่าวไปได้เงิน 3,150 บาท จำเลยจึงชอบที่จะชำระค่าเช่านาด้วยข้าวเปลือก หรือด้วยเงินที่ขายข้าวเปลือกดังกล่าว พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระค่าเช่านาประจำปี พ.ศ. 2524 ที่ยังค้างชำระแก่โจทก์ ด้วยข้าวเปลือกจำนวน 125 ถัง หรือด้วยเงินที่ขายข้าวได้จำนวน 3,150 บาท ในระหว่างรอฟังคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ

Share