คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตตามโฉนดที่ดินของแต่ละฝ่ายโดยให้ถือแผนที่หลังโฉนดเป็นหลักแล้วทำแผนที่พิพาทแสดงอาณาเขตให้ชัดเจนว่าอาคารในที่ดินของแต่ละฝ่ายมีการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหรือไม่เพียงใดเช่นนี้ย่อมกระทำได้โดยชอบและอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานที่ดินจะปฏิบัติได้หากเจ้าพนักงานที่ดินยังทำมาไม่ถูกต้องครบถ้วนอย่างไรก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้ทำมาใหม่ให้ถูกต้องแล้วชี้ขาดตัดสินคดีไปตามนั้น ศาลชั้นต้นสืบพยานคู่ความแล้วจึงวินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยไม่ปรากฏเหตุว่าการปฏิบัติตามคำท้าไม่อาจทำได้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามคำท้าของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 44 ตารางวาพร้อมบ้านไม้ 1 หลัง ซึ่งปลูกในที่ดินดังกล่าว เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2524 จำเลยได้ปลูกตึกลงในที่ดินของจำเลยโดยทำขายคารุกล้ำที่ดินโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ1 ตารางวาและจำเลยสร้างชายคายื่นทับหลังคาบ้านโจทก์แตกเสียหาย รางรองน้ำฝนเสียหาย รวมเป็นเงิน 1,500 บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้ปลูกตึกแถวรุกล้ำที่ดินโจทก์ เรือนโจทก์ชายคาทิศตะวันออกและทางทิศใต้รุกล้ำที่ดินของจำเลย จำเลยไม่ได้ทำกระเบื้องมุงหลังคาและรางน้ำของโจทก์เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินโจทก์ทั้งสอง

จำเลยอุทธรณ์ ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามคำท้าของคู่ความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 21ธันวาคม 2524 อันเป็นวันนัดชี้สองสถานว่าคู่ความรับกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3380 จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3378 คดีมีประเด็น (1) จำเลยปลูกตึกแถวรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ (2) ค่าเสียหายมีเพียงใด คู่ความต่างท้ากันว่าในประเด็นข้อ 1 นั้น ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดจันทบุรี เป็นผู้ออกไปรังวัดสอบเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินของแต่ละฝ่ายแล้วทำแผนที่พิพาทแสดงอาณาเขตให้ชัดเจนว่าอาคารในที่ดินของแต่ละฝ่ายนั้นมีการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแต่ละฝ่าย(น่าจะหมายถึงของอีกฝ่าย) หรือไม่เพียงใด การรังวัดสอบเขตดังกล่าวให้ถือแผนที่หลังโฉนดที่ดินของแต่ละฝ่ายเป็นหลัก หากปรากฏว่าอาคารในที่ดินของจำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง จำเลยยอมแพ้คดี จะรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปให้หมดสิ้น หากปรากฏว่าอาคารในที่ดินของโจทก์รุกล้ำที่ดินของจำเลย โจทก์จะยอมรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปให้หมดสิ้นเช่นกัน สำหรับประเด็นข้ออื่นโจทก์ขอสละเสียทั้งสิ้นศาลเห็นชอบด้วยคำท้าให้คู่ความทั้งสองฝ่ายนำเจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดสอบเขต ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดจันทบุรี ได้ส่งแผนที่พิพาทมายังศาลชั้นต้นแต่เป็นแผนที่พิพาทที่เกิดจากการที่โจทก์จำเลยต่างนำชี้เขตที่ดินของตน ศาลชั้นต้นจัดรายงานกระบวนพิจารณาว่าจึงยังเป็นปัญหาอยู่ ครั้นวันรุ่งขึ้นคู่ความได้ตรวจดูแผนที่หลังโฉนดของที่ดินพิพาทที่ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดได้ส่งต่อศาลแล้ว ทนายจำเลยโต้แย้งว่าแผนที่หลังโฉนดที่ส่งมาก็ไม่ถูกต้อง ทนายโจทก์ขอสืบพยาน ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ 1 ปากหมดพยานโจทก์แล้วไว้เผชิญสืบที่พิพาทตามที่โจทก์ขอ หลังจากนั้นจึงสืบพยานจำเลย 1 ปาก เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานอื่นของจำเลย และมีคำพิพากษาชี้ขาดคดี แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าการท้ากันของคู่ความเช่นนี้ย่อมกระทำได้โดยชอบ และอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานที่ดินจะปฏิบัติได้ตรงตามคำท้า หากเจ้าพนักงานที่ดินยังทำมาไม่ถูกต้องครบถ้วนอย่างไร ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้ทำใหม่ให้ถูกต้องครบถ้วนได้ แล้ววินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามนั้น การที่ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความและเผชิญสืบแล้วจึงวินิจฉัยชี้ขาดคดี โดยไม่ปรากฏเหตุว่าการปฏิบัติตามคำท้าไม่อาจกระทำได้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามคำท้าของคู่ความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share