คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1015/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งต้องห้ามมิให้ยึดถือครอบครองหากโจทก์ซื้อโดยทราบอยู่ก่อนว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ การซื้อของโจทก์ย่อมเป็นไปโดยไม่สุจริตแม้เป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโจทก์ก็ไม่ได้สิทธิในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330นอกจากนี้ในระหว่างราษฎรด้วยกันจำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์การที่จำเลยแถลงรับในชั้นชี้สองสถานว่าจำเลยไม่มีน.ส.3 สำหรับที่พิพาทยังไม่เพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีคดีจึงจำต้องทำการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต โดยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาเมื่อไปตรวจดูที่ดิน ปรากฏว่ามีมันสำปะหลังของจำเลยปลูกอยู่เต็มที่ดินพิพาท โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยไม่ยอมออกขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว

จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาท จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ พ.ศ. 2518ติดต่อเรื่อยมา โจทก์ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริต เพราะทราบดีก่อนจะซื้อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ต้องห้ามมิให้ยึดถือครอบครองโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง

ชั้นชี้สองสถาน ทนายจำเลยแถลงว่าที่ดินพิพาทซึ่งป็นของจำเลยจำเลยไม่มี น.ส.3 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย จำเลยแถลงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตสิทธิของโจทก์มีอยู่โดยสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คดีมีประเด็นตามฟ้องและคำให้การว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล และโจทก์ซื้อโดยไม่สุจริต เพราะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์อยู่ในที่พิพาทหรือไม่ และที่พิพาทตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ หากข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยครอบครองทำประโยชน์มาก่อนที่โจทก์จะซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล และโจทก์ซื้อโดยทราบอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท การซื้อของโจทก์ย่อมเป็นไปโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่ได้สิทธิในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330 และหากที่พิพาทเป็นที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญํติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซึ่งโจทก์จำเลยย่อมไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกัน จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ การที่จำเลยแถลงรับมาในชั้นชี้สองสถานเพียงว่าจำเลยไม่มี น.ส.3 สำหรับที่พิพาทเท่านั้น ยังไม่เพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา คดีจำต้องทำการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความตามประเด็นิพาทดังกล่าวข้างต้น

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิพากษาต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share