คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีผู้ตายได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ดังนี้ เป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 หาใช่เหตุลักษณะคดีไม่ เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่อุทธรณ์ คดีเฉพาะจำเลยที่ 2 จึงต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยามิได้จดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 แล้วใช้ขวานฟันจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 แย่งขวานได้ก็เหวี่ยงทิ้ง ผู้ตายยังติดตามจะทำร้ายจำเลยทั้งสองซ้ำอีก ดังนี้ การกระทำของผู้ตายจึงเป็นการข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ยิงและตีผู้ตายผู้ข่มเหงในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ หาใช่เพื่อป้องกันไม่ศาลฎีการับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้ปืน ขวาน และไม้ท่อนเป็นอาวุธยิงและตีนายผวนโดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้นายผวนถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีศีรษะผู้ตาย 1 ทีก็หยุดไม่ได้ทำร้ายผู้ตายอีก พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 6 เดือน โดยให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุส่วนจำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้ตายได้รับบาดเจ็บเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เป็นเหตุลักษณะคดีพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 69 จำคุก 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่อุทธรณ์โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองต่างทำร้ายผู้ตาย มิได้ร่วมกันกระทำ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว หาใช่เหตุลักษณะคดีไม่ คดีเฉพาะจำเลยที่ 2 จึงต้องบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีคงมีปัญหาเฉพาะจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ต่อว่านางต้อยพี่สาวซึ่งเป็นภรรยาผู้ตายที่ยอมให้บุตรผู้ตายไปรับจ้างมารดาจำเลยที่ 1 ทำงานแล้วกลับใช้ให้คนไปตามกลับผู้ตายซึ่งเมาสุราได้พูดโต้เถียงกับจำเลยที่ 2 แล้วผู้ตายโกรธจึงทำร้ายจำเลยที่ 2 เป็นเหตุจำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายจนต่อมาต้องแท้งบุตร จำเลยที่ 1 ชวนจำเลยที่ 2 เดินไปที่รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 วาเพื่อขับรถกลับบ้านผู้ตายวิ่งตามไปใช้ขวานฟันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 แย่งขวานได้ก็เหวี่ยงทิ้งแล้วจำเลยทั้งสองถอยไปจะขึ้นรถ ผู้ตายกระโดดจะทำร้ายจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 จึงใช้ไม้ท่อนกลมยาวประมาณ 1 ศอกตีศีรษะผู้ตายได้รับบาดเจ็บแล้วจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัดและใช้ขวานตีศีรษะผู้ตายอีก ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่จำเลยที่ 1 ยิง การยิงและการตีของจำเลยที่ 1 จะมีความผิดเพียงใดนั้นเห็นว่า ผู้ตายทำร้ายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยามิได้จดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 ก่อนแล้วยังติดตามทำร้ายจำเลยทั้งสองซ้ำอีก โดยจำเลยทั้งสองมิได้ทำร้ายโต้ตอบ การกระทำของผู้ตายจึงเป็นการข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ยิงและตีผู้ตายผู้ข่มเหงในขณะนั้นย่อมเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 หาใช่เพื่อป้องกันดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฟังไม่ขึ้น ศาลฎีการับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าคนตายโดยบันดาลโทสะตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ส่วนอัตราโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share