แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำพิพากษาได้ระบุว่าที่ดินของจำเลยตามเส้นสีเขียวด้านที่ติดกับลำห้วยน้ำใสยาว 25 เมตร ตามแผนที่พิพาทเป็นทางภารจำยอม ย่อมหมายถึงเส้นสีเขียวด้านที่ติดกับลำห้วยน้ำใสเท่านั้น หาได้หมายถึงเส้นสีเขียวในแผนที่สังเขปด้านทิศตะวันตกอีกเส้นหนึ่งที่อยู่ถัดไปไม่ เมื่อคำพิพากษานั้นไม่กำหนดความกว้างของทางพิพาทที่ตกเป็นภารจำยอมนั้นไว้ ศาลก็ย่อมกำหนดความกว้างของทางเดินพิพาทนั้นได้เพื่อให้การบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ดำเนินไปได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
ที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันออกติดลำห้วยน้ำใส บริเวณริมห้วยมีทางพิพาทซึ่งเป็นทางเดินระยะทางยาวประมาณ 25 เมตร เมื่อทางภารจำยอมเป็นเพียงทางเดินเท่านั้น ทางพิพาทดังกล่าวจึงไม่จำเป็นต้องมีความกว้างตามที่ระบุไว้ในแผนที่พิพาท ศาลย่อมใช้ดุลพินิจกำหนดความกว้างของทางพิพาทที่ตกเป็นภารจำยอมไว้เพียง 1.50 เมตร ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ที่ดินของจำเลยตามเส้นสีเขียวด้านที่ติดกับลำห้วยน้ำใสยาว 25 เมตร ตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.6 เป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยไปจดทะเบียน ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางบนทางภารจำยอมออกไปห้ามมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิในทางภารจำยอมของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในการบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการเปิดทางภารจำยอมด้านทิศเหนือกว้าง 2.50 เมตร ทิศใต้กว้าง 7 เมตร ทิศตะวันออกยาว 40.50 เมตร ทิศตะวันตกยาว 39.70 เมตร ตามบันทึกการบังคับคดีลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2540
จำเลยยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีขัดแย้งฝ่าฝืนและเกินกว่าคำพิพากษาโดยจะเปิดทางภารจำยอมด้านที่ติดกับที่ดินโจทก์กว้างประมาณ 2.80 เมตร และด้านถนนสายหล่มเก่า – วังบาล กว้างประมาณ 7 เมตรซึ่งตามคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นให้ทางภารจำยอมกว้างไม่เกิน 1 เมตร เท่านั้น ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีให้ตรงตามคำพิพากษา
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีรังวัดทางภารจำยอมตามความเป็นจริงตรงตามคำพิพากษาแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำพิพากษาไม่ได้กำหนดความกว้างของทางภารจำยอมจึงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการเปิดทางภารจำยอมเป็นทางเดินกว้าง 1.50 เมตร โดยวัดจากแนวเส้นสีเขียวด้านที่ติดกับลำห้วยน้ำใสตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 ไปตลอดแนว
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงรับฟังเป็นยุติว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นบังคับคดีตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า ทางพิพาทที่ตกเป็นภารจำรยอมควรมีความกว้างเท่าใด โดยโจทก์ทั้งสองฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่โดยอ้างว่า คำพิพากษาไม่ได้กำหนดว่า ทางพิพาทนั้นกว้างเท่าใด เป็นคำสั่งที่คลาดเคลื่อนเพราะเมื่อพิจารณาคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลฎีกาแล้ว ถือได้ว่าในเรื่องความกว้างยาวของทางพิพาทเป็นอันยุติแล้วตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 นั้น เห็นว่า ตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ระบุว่าที่ดินของจำเลยตามเส้นสีเขียวด้านที่ติดกับลำห้วยน้ำใสยาว 25 เมตรตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 เป็นทางภารจำยอมนั้น ย่อมหมายถึงเส้นสีเขียวด้านที่ติดกับลำห้วยน้ำใสเท่านั้น หาได้หมายถึงเส้นสีเขียวในแผนที่สังเขปด้านทิศตะวันตกอีกเส้นหนึ่งที่อยู่ถัดไปตามที่โจทก์ทั้งสองเข้าใจไม่ ดังนั้น เมื่อคำพิพากษานั้นไม่กำหนดความกว้างของทางพิพาทที่ตกเป็นภารจำยอมนั้นไว้ ศาลก็ย่อมกำหนดความกว้างของทางเดินพิพาทนั้นได้ เพื่อให้การบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ดำเนินไปได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2และศาลฎีกาฟังยุติมาแล้วว่าที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันออกติดลำห้วยน้ำใสบริเวณริมห้วยมีทางพิพาทซึ่งเป็นทางเดินระยะทางยาวประมาณ 25 เมตร ดังนั้นเมื่อทางภารจำยอมเป็นเพียงทางเดินเท่านั้น ทางพิพาทดังกล่าวจึงไม่จำเป็นต้องมีความกว้างตามที่ระบุไว้ในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดความกว้างของทางพิพาทที่ตกเป็นภารจำยอมไว้ 1.50 เมตร นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน