คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2591/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมได้นำเช็คพิพาทในคดีนี้ไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้นในข้อหาเรียกให้ใช้เงินตามเช็ค โจทก์ร่วมและจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่ง และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้ว แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุไว้ชัดว่า การทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เป็นเหตุให้คดีอาญาระงับจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์ (โจทก์ร่วมคดีนี้) จนเสร็จสิ้นก็ตาม แต่ผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ดังนั้น หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้น จึงเป็นอันระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญา โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยได้ใช้เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ตกลงกันในคดีแพ่งแก่โจทก์ (โจทก์ร่วมคดีนี้) จนเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ คดีจึงเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4419/2538 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การรับสารภาพ

ระหว่างพิจารณา นายมงคล ชูติพงศ์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้นโจทก์ไม่นำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนว่า จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์พร้อมแนบสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมในคดีนี้และจำเลยท้ายอุทธรณ์ อ้างว่าโจทก์ร่วมได้นำเช็คพิพาทในคดีนี้ไปฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ในข้อหาเรียกให้ใช้เงินตามเช็ค โจทก์ร่วมในคดีนี้และจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3302/2539 ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ระบุได้ชัดว่า การทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่เป็นเหตุให้คดีอาญาระงับจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์จนเสร็จสิ้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมไม่ระงับ เห็นว่า เมื่อโจทก์ร่วมในคดีนี้ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 3302/2539 และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้ว ผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ดังนั้น หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้น จึงเป็นอันระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญา โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยได้ใช้เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วหรือไม่ คดีจึงเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้ว จึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ

Share