คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ในเช็คแต่ละฉบับเป็นความผิดแต่ละกระทงเรียงกันไป การพิจารณาว่ากระทงใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ ต้องพิจารณาถึงจำนวนเงินที่ระบุในเช็คแต่ละฉบับว่าหากศาลลงโทษปรับสองเท่าของจำนวนเงินที่ระบุในเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแล้วเกินกว่าหกหมื่นบาทหรือไม่ ถ้าไม่เกินกว่าหกหมื่นบาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง กรณีก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว จะนำจำนวนเงินตามที่ระบุในเช็คฉบับอื่นแม้จะลงวันสั่งจ่ายวันเดียวกันมารวมคำนวณด้วยหาได้ไม่
ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว
โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คที่นำมาฟ้องเป็นจำนวนหลายสิบฉบับ และได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่า เช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคาร อันถือว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดเนื่องจากธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วย จึงหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่การที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำความผิดไปกล่าวรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อโกงนายจิระ วัฒนกุลจรัส ผู้เสียหายโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งเอาเช็คของผู้อื่นและที่จำเลยทั้งสองสั่งจ่าย มาขอแลกเงินสดจากผู้เสียหายหลายครั้ง ๆละหลายฉบับ หลอกลวงว่าผู้สั่งจ่ายทุกคนมีฐานะดี เป็นลูกค้าชั้นหนึ่งของธนาคารต้องการซื้อพืชไร่มาตุนไว้ ความจริงผู้สั่งจ่ายทุกคนมิได้ประกอบอาชีพและธุรกิจเป็นหลักฐาน ผู้เสียหายหลงเชื่อยอมให้แลกเงินสดไป เมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปเข้าบัญชีธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ จำเลยทั้งสองออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 12,263,723 บาทแก่ผู้เสียหาย และขอให้นับโทษจำเลยติดต่อกับโทษในคดีอื่น

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

นายจิระ วัฒนกุลจรัส ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดในข้อหาฉ้อโกง และยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คสำหรับจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำเลยที่ 2 ออกเช็ค 2 ฉบับ เป็นความผิดสองกระทง ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี คำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2ไว้มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอื่น ส่วนจำเลยที่ 1ให้ยกฟ้อง

โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คหลายฉบับที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายไปขอแลกเงินสดจากโจทก์ร่วม แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คในจำนวนนี้มีเช็คที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายรวม 2 ฉบับ คือเช็คเอกสารหมาย จ.119 และ จ.123 แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 สำหรับเช็คตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.127 โดยอ้างว่า จำนวนเงินตามเช็คทั้งสองฉบับมีเพียงฉบับละ10,000 บาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง กรณีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิที่แก้ไขแล้ว เป็นการไม่ชอบ เพราะเช็คตามเอกสารหมาย จ.1 เกี่ยวข้องกับเช็คตามเอกสารหมาย จ.3 และเช็คตามเอกสารหมาย จ.127 เกี่ยวข้องกับเช็คตามเอกสารหมาย จ.120 เนื่องจากลงวันสั่งจ่ายวันเดียวกัน ซึ่งเมื่อรวมจำนวนเงินตามเช็คทั้งสองฉบับที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ก็จะมีจำนวนเงินเกินกว่าหกหมื่นบาทกรณีจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ในเช็คแต่ละฉบับเป็นความผิดแต่ละกระทงเรียงกันไป จึงต้องพิจารณาถึงจำนวนเงินที่ระบุในเช็คแต่ละฉบับว่าหากศาลลงโทษปรับสองเท่าของจำนวนเงินที่ระบุในเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแล้วเกินกว่าหกหมื่นบาทหรือไม่ ถ้าไม่เกินกว่าหกหมื่นบาทเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง กรณีก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิที่แก้ไขแล้ว จะนำจำนวนเงินตามที่ระบุในเช็คฉบับอื่นแม้จะลงวันสั่งจ่ายวันเดียวกันมารวมคำนวณด้วยตามที่โจทก์ร่วมฎีกาหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่โจทก์ร่วมฎีกาอีกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยความผิดข้อหาฉ้อโกงโดยอ้างว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้วเป็นการไม่ชอบเพราะคดีนี้จำเลยที่ 1 ได้วางแผนทุจริตฉ้อโกงโจทก์ร่วม โดยร่วมกับพวกนำเช็คของบุคคลอื่นมาขอแลกเงินสดไปจากโจทก์ร่วมหลายครั้งเป็นจำนวนเงินกว่าสิบล้านบาท รวมทั้งแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ซึ่งความผิดเช่นว่านี้มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท คดีจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) โดยนำเช็คมาขอแลกเงินสดและขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งความผิดตามมาตราดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในความผิดข้อหาฉ้อโกงจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน

ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับที่เกิดเหตุไว้หลายแขวงและหลายเขตโดยไม่ระบุให้ชัดว่าเหตุแห่งการกระทำผิดครั้งใดเกิดที่แขวงใดและเขตใดฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มีได้กล่าวให้แจ้งชัดถึงการกระทำของจำเลยและสถานที่ที่เกิดการกระทำนั้น ๆ พอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเคลือบคลุมนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คที่นำมาฟ้องเป็นจำนวนหลายสิบฉบับและได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าเช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคารอันถือว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำผิดเนื่องจากธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วยจึงหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่ เพราะการที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำผิดไปรวมกล่าวไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจได้ดีแล้ว และจำเลยก็ไม่ได้หลงต่อสู้คดีแต่ประการใด ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share