คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของโจทก์ จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินแปลงที่ 2 และที่ 3 ส่วนแปลงที่ 1 จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของบุคคลอื่นมิได้ต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ซึ่งมีราคา 7,000 บาท และพอถือได้ว่าขณะยื่นฟ้องที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ5,000 บาทด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังว่าที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 กับแปลงที่ 2, ที่ 3 ไม่ใช่ของโจทก์คดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 นี้ ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลง เป็นของโจทก์โดยได้รับมรดกมาจากบิดามารดา ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 เป็นของนางหนูขินบุตรจำเลยส่วนแปลงที่ 2, และที่ 3 เป็นของจำเลยได้มาจากการยกให้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขาดอายุความ

ในชั้นแรกศาลชั้นต้น สืบพยานเฉพาะตัวโจทก์คนเดียวก็สั่งงดสืบพยานอื่นแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ มีการอุทธรณ์และฎีกาต่อมาจนศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

ศาลชั้นต้นสืบพยานและพิจารณาใหม่แล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและไม่ขาดอายุความ แต่ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

โจทก์โดยนายเจริญ อนันต์ ทายาทของโจทก์ผู้มรณะเข้ามาเป็นคู่ความแทนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องจำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 เป็นของนางหนูขินบุตรจำเลย แปลงที่ 2ที่ 3 เป็นของจำเลย แสดงว่าจำเลยได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 ที่ 3 เท่านั้น มิได้ต่อสู้คดีแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ซึ่งมีราคา 7,000 บาทและพอถือได้ว่า ขณะยื่นฟ้องที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาทด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 กับแปลงที่ 2 ที่ 3 ไม่ใช่ของโจทก์โจทก์จะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 เป็นของโจทก์อีกไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 ที่ 3 ไม่ใช่ของโจทก์

พิพากษายืน

Share