คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3106/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ซึ่งมีผลทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คือโจทก์ยอมลดเงินต้นเหลือ780,000 บาทจำเลยยินยอมชำระดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวแก่โจทก์และชำระเงินต้นคืนเป็นการตอบแทน แต่ถ้าจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและให้โจทก์บังคับเอาเงินต้นจากจำเลยเป็นเงิน850,000 บาทจึงเห็นได้ว่ากรณีผิดนัดจำเลยจะต้องถูกบังคับให้ชำระหนี้เพิ่มจากเงินต้นตามสัญญาอีก70,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็คือเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 นั่นเองตามบทบัญญัติดังกล่าวเมื่อจำเลยผิดนัด นอกจากโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาแล้วโจทก์ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกด้วย จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยจากต้นเงิน 780,000บาท ตามสัญญาต่อไปอีกจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่ศาล และศาลแพ่งได้พิพากษาตามยอมแล้ว โดยสัญญาว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์780,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นให้โจทก์ จำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และยอมให้โจทก์บังคับเอาต้นเงินจากจำเลยเป็นเงิน 850,000 บาท ต่อมาจำเลยปฏิบัติผิดสัญญายอม จึงเกิดโต้เถียงกันว่า จำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยโจทก์อ้างว่ามีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระหนี้ต้นเงิน 850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ส่วนจำเลยอ้างว่าโจทก์คงมีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญายอม คือ ต้นเงิน 850,000 บาทโดยไม่มีดอกเบี้ย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเรื่อยไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายดอกเบี้ยในต้นเงิน780,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จีงมีผลทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โดยโจทก์จำเลยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คือโจทก์ยอมลดเงินต้นตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 850,000 บาท ลงมา 70,000 บาทคงเหลือ 780,000 บาท โดยจำเลยยินยอมชำระดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าว และชำระเงินต้นคืนเป็นการตอบแทน แต่ถ้าจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้โจทก์บังคับเอาต้นเงินเป็นเงิน 850,000 บาท จึงเห็นได้ว่า เมื่อจำเลยผิดนัด จำเลยจะถูกบังคับให้ชำระหนี้เพิ่มจากเงินต้นตามสัญญาอีก 70,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็คือเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 ต้นเงินตามสัญญา จึงประกอบด้วยเงินต้น 780,000 บาท ตามสัญญา รวมกับเบี้ยปรับอีก 70,000 บาท มีปัญหาว่าเมื่อผิดนัดต้องชำระเบี้ยปรับแล้ จำเลยยังจะต้องชำระดอกเบี้ยต่อไปอีกหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 เห็นได้ว่า เมื่อจำเลยผิดนัด นอกจากโจทก์จะเรียกให้ชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกด้วย ดังนั้นแม้จะบังคับเอาเบี้ยปรับแล้วโจทก์ยังมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญาและเงินต้น 780,000 บาท

พิพากษายืน

Share