แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิเกิดจากผู้กระทำผิดมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ลักษณะของการกระทำความผิดจึงอยู่ที่การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดในเรื่องการขออนุญาตมีและพาอาวุธปืนเป็นสำคัญ เมื่อผู้ใดฝ่าฝืนให้ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดและต้องรับโทษเป็นการเฉพาะตัวเจตนาของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จึงเป็นคนละส่วนสามารถแยกออกจากเจตนากระทำความผิดฐานลักอาวุธปืนได้ชัดเจน แม้จะมีการกระทำเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ก็ถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของนางพิมพกาหรือพิมพกานต์ พรหมทา ผู้เสียหาย แล้วใช้มีดโต้งัดประตูหลังบ้าน อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์แล้วลักเอาอาวุธปืนพกขนาด .38ราคา 15,100 บาท ของจ่าสิบตำรวจนรินทร์ พรหมทา สามีผู้เสียซึ่งเก็บรักษาไว้ในเคหสถานดังกล่าวไปโดยทุจริต และจำเลยมีอาวุธปืนพกดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาติดตัวไปในหมู่บ้านและตามถนนสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 335ริบมีดโต้ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ (ที่ถูกต้อง 72 ทวิ วรรคสอง)ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(3)(8) วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานลักทรัพย์ จำคุก 2 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 3 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 9 เดือน ริบมีดโต้ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78กึ่งหนึ่ง แล้วคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า จำเลยเจตนากระทำผิดดังฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย แล้วจำเลยลักอาวุธปืนพกของสามีผู้เสียหายไปโดยทุจริต และจำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้อง โจทก์จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่าจำเลยถือวิสาสะเข้าไปในบ้านพักของผู้เสียหายเพื่อนำอาวุธปืนไปใช้เพราะเคยปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนและจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปในทุ่งนา มิใช่หมู่บ้านหรือทางสาธารณะหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ซึ่งมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีกด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สองมีว่า ผู้กระทำความผิดฐานลักอาวุธปืนจะต้องรับโทษในความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองฯ และความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ เกิดจากผู้กระทำผิดมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ลักษณะของการกระทำความผิดจึงอยู่ที่การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดในเรื่องการขออนุญาตมีและพาอาวุธปืนเป็นสำคัญเมื่อผู้ใดฝ่าฝืน ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดและต้องรับโทษเป็นการเฉพาะตัวเจตนาของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จึงเป็นคนละส่วนสามารถแยกออกจากเจตนากระทำความผิดฐานลักอาวุธปืนได้ชัดเจน แม้จะมีการกระทำเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์และความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ได้ความว่าจำเลยใช้มีดโต้งัดประตูบ้านของผู้เสียหายแล้วลักเอาอาวุธปืนพกของสามีผู้เสียหายไปทั้งที่เป็นเวลากลางวัน พฤติการณ์ส่อว่าจำเลยกระทำโดยอุกอาจปราศจากการยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง นับเป็นภัยต่อสาธารณชน แม้ผู้เสียหายจะไม่ติดใจเอาความก็ไม่มีเหตุอันควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน