คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9540/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องในฐานะทายาทของ ฮ. ส่วนคดีเดิมโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเข้าไปเป็นคู่ความในฐานะผู้จัดการมรดกของ ฮ. เป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของทายาท ฮ. ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีเดิมที่ศาลฎีกาพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำพิพากษาของศาลฎีกาเดิมย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 วรรคหนึ่งการที่โจทก์มาฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้อีกว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของบิดาโจทก์และโจทก์ จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จึงเป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนทางด้านทิศเหนือเนื้อที่ 1 งาน 28 ตารางวา จากชื่อจำเลยมาเป็นชื่อโจทก์ตามเดิม หากจำเลยไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดตามฟ้องด้านทิศเหนือเนื้อที่ 1 งาน 28 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า จำเลยเคยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์และโจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านว่าจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2540 (ท้ายคำให้การจำเลย) ศาลชั้นต้น เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์และจำเลย จึงมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมที่จำเลยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2540 หรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องในฐานะทายาทของนายฮี้ ส่วนคดีเดิมโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเข้าไปเป็นคู่ความในฐานะผู้จัดการมรดกของนายฮี้ ก็เป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของทายาทนายฮี้ จึงถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีเดิมที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีเดิมย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น การที่โจทก์มาฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้อีกว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของบิดาโจทก์และโจทก์จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ กรณีจึงเป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share