คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4617/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันนัดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์ คู่ความแถลงยอมรับข้อเท็จจริงกันศาลแรงงานเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษา คำสั่งศาลแรงงานที่ให้งดสืบพยานดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลแรงงานมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 หากจำเลยเห็นว่าการงดสืบพยานดังกล่าวไม่ถูกต้อง จำเลยจะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31,54 ปรากฏว่านับแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำสั่งงดสืบพยานดังกล่าวจนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยมีเวลาพอที่จะโต้แย้งได้ แต่จำเลยก็หาได้โต้แย้งไม่อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตาม บทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
เมื่อจำเลยต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เรื่องการจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้าง แม้ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นมีผลใช้บังคับจำเลยจะได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำก็ตาม แต่เมื่อจำเลยมิได้แจ้งข้อเรียกร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวเพียงแต่จำเลยประกาศแจ้งให้ลูกจ้างทราบว่า จำเลยจะจ่ายเงินโบนัสเพียงร้อยละ 50 ของอัตราการจ่ายในปีที่ผ่านมาโดยยึดหลักเกณฑ์เดิม ประกาศดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวและเป็นการที่จำเลยขอความร่วมมือจากลูกจ้างเท่านั้นมิใช่เป็นการแจ้งข้อเรียกร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจึงย่อมไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องการจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

ย่อยาว

คดีทั้งแปดสิบหกสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางให้รวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันกับคดีอื่นอีกสี่สิบสำนวน โดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1ถึงโจทก์ที่ 126 แต่คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4, ที่ 7 ถึงที่ 11,ที่ 13 ถึงที่ 15, ที่ 20, ที่ 21, ที่ 24 ที่ 25, ที่ 28 ถึงที่ 32, ที่ 36 ถึงที่ 42, ที่ 44, ที่ 46,ที่ 48 ถึงที่ 52, ที่ 54, ที่ 57 ถึงที่ 64, ที่ 66 ถึงที่ 74, ที่ 77, ที่ 81, ที่ 85, ที่ 88 ถึงที่ 98,ที่ 100 ถึงที่ 104, ที่ 106 ถึงที่ 108, ที่ 111 ถึงที่ 113, ที่ 115, ที่ 116 และที่ 120 ถึงที่ 125 เท่านั้น

โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบหกสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทุกคนเป็นลูกจ้างจำเลย ค่าจ้างอัตราสุดท้ายของโจทก์แต่ละคนปรากฏตามบัญชีสำหรับรวมพิจารณาคดีจำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 15 และ 30 ของเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 25 และ 29ธันวาคม 2540 ซึ่งเป็นวันจ่ายเงินโบนัสประจำปีของทุกปีตามที่เคยปฏิบัติมาจำเลยประกาศขอจ่ายเงินโบนัสเพียงร้อยละ 50 ของยอดเงินที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิได้รับตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2539 การกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทุกคน ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2540 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินตามคำขอท้ายฟ้องแก่โจทก์แต่ละสำนวนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ

จำเลยทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบหกสำนวนให้การว่า บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2539 ทำขึ้นในขณะสภาวะเศรษฐกิจปกติต่อมาประมาณเดือนมิถุนายน 2540 จนถึงปัจจุบันได้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแบบลอยตัวเป็นเหตุให้จำเลยได้รับผลกระทบในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นในปี 2540 จำเลยจึงประกาศจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างเพียงร้อยละ 50 ของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวเท่านั้นโจทก์จำนวน 38 คนตามบัญชีท้ายคำให้การยินยอมรับเงินโบนัสตามที่จำเลยประกาศไปแล้ว จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสอีก สำหรับโจทก์ที่ 119 และที่ 126 ขาดคุณสมบัติในการรับเงินโบนัสตามเงื่อนไขของจำเลยย่อมไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสเช่นเดียวกันส่วนโจทก์อีก 86 คน จำเลยได้แจ้งให้ทราบว่าจำเลยไม่อาจจ่ายเงินโบนัสเท่าเดิมได้แต่โจทก์ทั้ง 86 คน ไม่ยินยอม ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 5, ที่ 6, ที่ 12, ที่ 16 ถึงที่ 19, ที่ 22, ที่ 23, ที่ 26, ที่ 27, ที่ 33 ถึงที่ 35, ที่ 43, ที่ 45, ที่ 47, ที่ 53, ที่ 55, ที่ 56, ที่ 65, ที่ 75, ที่ 76, ที่ 78ถึงที่ 80, ที่ 82 ถึงที่ 84, ที่ 86, ที่ 87, ที่ 99, ที่ 105, ที่ 109, ที่ 110, ที่ 114, ที่ 117 ถึงที่ 119 และที่ 126 ขอถอนฟ้อง ศาลแรงงานกลางอนุญาต

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์ทั้งแปดสิบหกคนตามบัญชีท้ายคำพิพากษาพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินของโจทก์แต่ละคนนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ

จำเลยทั้งแปดสิบหกสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่าศาลแรงงานกลางสั่งให้งดสืบพยานชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2541 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์ระบุว่า คู่ความแถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามเอกสารหมาย จ.ล.1ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์ และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 27 มีนาคม 2541 ดังนั้น คำสั่งศาลแรงงานกลางที่ให้งดสืบพยานจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226หากจำเลยเห็นว่าการงดสืบพยานดังกล่าวไม่ถูกต้อง ควรดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจำเลยจะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ เมื่อมีการโต้แย้งแล้วจึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานกลาง พ.ศ. 2522 มาตรา 31, 54 ปรากฏว่านับแต่วันที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งงดสืบพยานดังกล่าวจนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยมีเวลาพอที่จะโต้แย้งได้ แต่จำเลยก็หาได้โต้แย้งไม่ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า การที่จำเลยประกาศจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2540เพียงร้อยละ 50 ของอัตราการจ่ายเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจึงมิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวนั้นเห็นว่าจำเลยต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2539ข้อ 3 เรื่องการจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ทั้งแปดสิบหกคนทั้งข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2539 ถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 แม้ปี 2540 จำเลยได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำดังที่จำเลยอ้าง แต่จำเลยมิได้แจ้งข้อเรียกร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว การที่จำเลยประกาศแจ้งให้ลูกจ้างทราบว่าปี 2540 จำเลยจะจ่ายเงินโบนัสเพียงร้อยละ 50 ของอัตราการจ่ายในปีที่ผ่านมาโดยยึดหลักเกณฑ์เดิมประกาศดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวและเป็นการที่จำเลยขอความร่วมมือจากลูกจ้างเท่านั้นมิใช่เป็นการแจ้งข้อเรียกร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2539 อันจะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องการจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 แต่อย่างใด ปรากฏว่าโจทก์ทั้งแปดสิบหกคนมิได้ตกลงรับเงินโบนัสตามที่จำเลยประกาศ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินโบนัสตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งแปดสิบหกคน

พิพากษายืน

Share