แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนที่ติดตัวไปตีทำร้ายผู้เสียหาย แม้จะไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลาง แต่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนรับว่าไม่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน จึงลงโทษจำเลยในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ แต่ตามฟ้องของโจทก์มิได้ระบุว่าอาวุธปืนที่จำเลยมีและพาไปเป็นอาวุธปืนที่มิได้รับอนุญาตให้มีตามกฎหมาย ทั้งโจทก์ก็นำสืบไม่ได้เช่นนั้น จึงต้องฟังให้เป็นคุณแก่จำเลยว่าอาวุธปืนที่จำเลยมีเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีตามกฎหมาย
ในกรณีข้างต้น เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้ระบุว่าให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 72 วรรคใด จึงไม่ชัดเจน ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุวรรคว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 72 วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้ด้ามปืนตีทำร้ายร่างกายพลทหารสำราญ นายศักดิ์ชาย เป็นเหตุให้บุคคลทั้งสองได้รับอันตรายแก่กายและใช้กำลังชกต่อยนายไสว ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย กับจำเลยมีอาวุธปืนพกสั้นพร้อมกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในที่สาธารณะ จัดให้มีการรื่นเริงฉลองงานบวชโดยไม่ได้ใบรับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวไป และไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และจำเลยได้ยิงปืนที่บริเวณหมู่บ้านและที่ชุมนุมชน 1 นัด โดยไม่มีเหตุอันสมควร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 371, 376, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามมาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือนข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ลงโทษตามมาตรา 7, 72 จำคุก 1 ปี ลงโทษตามมาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน รวมกับโทษฐานทำร้ายร่างกายเป็นจำคุก 1 ปี15 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่า จำเลยกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องหรือไม่ และฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนที่พกติดตัวมาตีทำร้ายพลทหาร สำราญและนายศักดิ์ชายแม้จะไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ตีผู้เสียหายมาเป็นของกลางก็ตาม แต่จำเลยก็ให้การในชั้นสอบสวนรับว่าจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ซึ่งเจือสมคำฟ้องของโจทก์ ทั้งพยานโจทก์ที่นำสืบก็ฟังได้ว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนที่ติดตัวไปตีทำร้ายผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย จึงลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในฟ้องโจทก์มิได้ระบุว่อาวุธปืนที่จำเลยมีและพาไปเป็นอาวุธปืนที่ไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีตามกฎหมาย และโจทก์ก็นำสืบไม่ได้ว่าเป็นอาวุธปืนที่มิได้รับใบอนุญาตให้มีตามกฎหมายหรือไม่ จึงต้องฟังให้เป็นคุณแก่จำเลยว่า อาวุธปืนที่จำเลยมีเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงไม่ชัดเจน ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุวรรคเสียด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสาม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์