คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายในคดีที่โจทก์ถูกบุคคลอื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทำสัญญากันว่าโจทก์ตกลงจ้างเหมาให้จำเลยว่าความจนถึงที่สุดตลอดจนการที่จะฟ้องบุคคลนั้นหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยตกลงให้ค่าจ้างเหมาแก่จำเลย รวมทั้งค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะต้องใช้ให้แก่บุคคลนั้นตามคำพิพากษาหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน120,000 บาท โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไปแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยขัดแย้งกันโจทก์จึงถอนจำเลยจากการเป็นทนายและตั้งทนายใหม่ ในที่สุดโจทก์กับบุคคลที่ฟ้องโจทก์นั้นทำยอมความกัน โดยบุคคลนั้นยอมรับเงินจากโจทก์ 170,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระแล้วได้ให้ทนายแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้มาชำระให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยกลับเพิกเฉย เนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในสารสำคัญ เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างเหมาว่าความที่จำเลยรับไปคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้ว แม้ตอนแรกกล่าวเป็นทำนองจะขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความตามสัญญาก็ตาม แต่ในตอนท้ายกลับอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ทั้งสิ้น จึงเป็นคำฟ้องที่มีประเด็นเฉพาะเรื่องฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนโดยอ้างเหตุว่าสัญญาเป็นโมฆะแต่เพียงประการเดียวไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนตามสัญญา
เมื่อฟ้องของโจทก์มีประเด็นเพียงว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงขอเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วคืนจากจำเลย แต่ศาลล่างวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ และประเด็นข้อนี้ไม่มีการฎีกาโต้แย้ง ฉะนั้นสัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา ฟ้องของโจทก์ซึ่งเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลยเพราะสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะ จึงเป็นอันตกไป
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-6/2513)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายในคดีที่โจทก์ถูกนายยูซบฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทำสัญญากับมีความสำคัญว่า โจทก์ตกลงจ้างเหมาให้จำเลยว่าความคดีนี้จนถึงที่สุดตลอดจนการที่จะฟ้องนายยูซบกับพวกหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอม โดยตกลงให้ค่าจ้างเหมาแก่จำเลยรวมทั้งค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะต้องใช้ให้แก่นายยูซบ ตามคำพิพากษาหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน 120,000 บาท โจทก์ไม่ต้องใช้ค่าเสียหายอีกโจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไปแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยขัดแย้งกัน โจทก์จึงถอนจำเลยจากการเป็นทนายและตั้งทนายใหม่ ในที่สุดโจทก์กับนายยูซบกับพวกทำยอมความกัน โดยนายยูซบกับพวกรับเงินค่ามัดจำและค่าเสียหายจากโจทก์ 170,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระแล้ว ได้ให้ทนายแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้มาชำระให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยกลับเพิกเฉยเนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในสารสำคัญแห่งข้อสัญญา เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งยังเป็นการผิดมารยาททนายความจึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างเหมาว่าความที่จำเลยรับไปคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยต่อสู้ปฏิเสธความรับผิด โจทก์ชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีเรียกเงินคืนไม่ได้ หากศาลเห็นว่าสัญญาสมบูรณ์ใช้ได้ ฟ้องโจทก์ก็ขาดสารสำคัญแห่งคำฟ้องคืนขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพราะโจทก์มิได้กล่าวถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาประการอื่นไว้อีกเลย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเคลือบคลุม

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน

ในวันนัดฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจดรายงานพิจารณาว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม เห็นสมควรให้นำคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 2703/2508 มาประกอบการพิจารณา

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยไม่เป็นโมฆะการชำระเงินค่าจ้างว่าความให้จำเลยไม่เป็นการชำระหนี้อันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมสัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของโจทก์บอกเลิกสัญญาได้ ไม่เป็นการไม่สุจริตและปลดหนี้ โจทก์ถอนจำเลยจากการเป็นทนาย เป็นการบอกเลิกสัญญาโดยปริยาย โจทก์บอกเลิกสัญญาก่อนคดีถึงที่สุดตามที่ตกลงจ้างกัน เห็นสมควรกำหนดค่าจ้างให้จำเลย 80,000 บาท พิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความ 40,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฝ่ายเดียวฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายทำสัญญากันไว้เป็นหลักฐานต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเป็นทนายของโจทก์ต่อไป จึงขอถอนจำเลยจากการเป็นทนาย แล้วจ้างทนายอื่นเป็นทนายโจทก์ การปฏิบัติหน้าที่ของทนายโจทก์และตัวโจทก์ในเวลาต่อมา จำเลยจึงมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยดังปรากฏตามฟ้องโจทก์ว่า หลังจากโจทก์แต่งตั้งทนายโจทก์คนใหม่แล้ว โจทก์ได้ประนีประนอมยอมใช้เงินให้นายยูซบ กับพวกเป็นเงิน 170,000 บาท อันเป็นจำนวนสูงกว่าค่าจ้างว่าความที่จำเลยรับไปจากโจทก์เห็นได้ชัดแจ้งว่าการที่โจทก์ตกลงประนีประนอมยอมใช้เงินแก่นายยูซบกับพวกนั้นเป็นการขัดกับข้อตกลงตามสัญญาจ้างว่าความ เพราะในข้อ 4 แห่งสัญญาระบุว่า ถ้าจะมีการประนีประนอมยอมความ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องรู้เห็นยินยอมพร้อมกันด้วย โจทก์จึงน่าจะทราบอยู่แล้วว่า ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงินที่โจทก์ต้องชำระไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉะนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงตั้งข้อหาเป็นเรื่องโมฆะกรรมให้ชำระเงินคืนและกล่าวอ้างว่าสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะ เรียกร้องให้ศาลบังคับจำเลยคืนค่าจ้างว่าความที่จำเลยรับไปตามสัญญาที่เป็นโมฆะให้โจทก์ แต่เนื่องจากโจทก์บรรยายฟ้องตอนหนึ่งมีข้อความว่าเมื่อโจทก์ชำระเงินให้นายยูซบกับพวกไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์มอบอำนาจให้นายอาคม วัณณรถ มีหนังสือถึงจำเลยให้จำเลยนำเงินตามจำนวนที่โจทก์ชำระให้แก่นายยูซบกับพวกมาชำระให้โจทก์ตามสัญญารับจ้างว่าความที่ทำไว้ต่อกัน จำเลยรับหนังสือแล้วเพิกเฉยไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์

คดีจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลย โดยอ้างว่าสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะ แต่เพียงประเด็นเดียวหรือมีประเด็นขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความให้โจทก์ตามสัญญาด้วย

ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า ฟ้องของโจทก์ตอนแรกกล่าวเป็นทำนองจะขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความตามสัญญา แต่ในตอนท้ายกลับอ้างว่า สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายและขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ทั้งสิ้น ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงมีมติว่าตามคำฟ้องดังกล่าวนี้ เป็นคำฟ้องที่มีประเด็นเฉพาะเรื่องฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืน โดยอ้างเหตุว่าสัญญาเป็นโมฆะแต่เพียงประการเดียว ไม่มีประเด็นฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนตามสัญญา

เมื่อฟ้องของโจทก์มีประเด็นเพียงว่า สัญญาเป็นโมฆะ จึงขอเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วคืนจากจำเลย แต่ศาลล่างวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ และประเด็นข้อนี้ไม่มีการฎีกาโต้แย้ง ฉะนั้น สัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา ฟ้องของโจทก์ซึ่งเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลย เพราะสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะ จึงเป็นอันตกไป

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share