แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาเบิกเกินบัญชีที่โจทก์ออกแทนจำเลยไปในการซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องถึงวันเวลาที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์ วิธีการสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ตามสำเนาหนังสือสัญญาและสำเนาบัญชียอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระท้ายฟ้องซึ่งเป็นการแสดงถึงวันที่จำเลยแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โจทก์ทำการเป็นนายหน้าและจ่ายเงินแทนจำเลย รวมทั้งข้อตกลงที่โจทก์จำเลยจะตัดทอนบัญชีอันเกิดจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลย เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่าโจทก์มีสิทธิซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โดยโจทก์เป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแพ่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงไม่เคลือบคลุม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทหลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2517 ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามประกาศของกระทรวงการคลัง มีกิจการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยซึ่งมีวิธีการปฏิบัติเป็นปกติ คือโจทก์จะเปิดรับลูกค้าที่ประสงค์จะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ให้เข้ามาทำสัญญากู้เงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์อันมีลักษณะเป็นบัญชีเดินสะพัดในวงเงินจำนวนหนึ่งโดยตกลงให้นำเงินที่กู้นี้ไปใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์พร้อมกับให้ลูกค้าทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ ทำการซื้อขายหลักทรัพย์แทนได้ เมื่อเข้าเป็นลูกค้าแล้วลูกค้ามีสิทธิสั่งซื้อหรือขายหุ้น เมื่อได้รับคำสั่งซื้อหรือขายแล้วโจทก์จะจัดการให้ตามความประสงค์แล้วแจ้งทางโทรศัพท์ให้ลูกค้าทราบเป็นการยืนยันการซื้อหรือขายนั้น ถ้าลูกค้ามาสั่งซื้อขายหุ้น ณ สำนักงานโจทก์ด้วยตนเอง โจทก์จะให้ลูกค้าลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานในใบสั่งด้วย ทุกครั้งที่ซื้อโจทก์ลงบัญชีว่าลูกค้าเบิกเงินจากบัญชีตามสัญญากู้บวกกับค่านายหน้าอัตราร้อยละ 0.5 และค่าใช้จ่ายอื่น เช่น ค่าอากรกับดอกเบี้ยของเงินที่เบิกรวมกับค่านายหน้าทุกครั้งที่ขายโจทก์ก็จะหักค่านายหน้าอัตราร้อยละ 0.5 และค่าใช้จ่ายอื่น เช่น ค่าอากร แล้วนำเข้าบัญชีเดินสะพัดทุกคราวที่มีการขายเพื่อหักทอนบัญชี ยอดคงค้างเท่าใด โจทก์สามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ และทุกวันสิ้นเดือนก็จะมีการหักทอนบัญชีกันอีกครั้งหนึ่ง ยอดหนี้ที่ลูกค้าจะต้องชำระคือยอดหนี้ที่ปรากฏจากการหักทอนบัญชีครั้งสุดท้ายกับดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าว วิธีการดังกล่าวเรียกว่า ‘เล่นหุ้น’ จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ตามวิธีการดังกล่าว โดยเข้าทำสัญญากู้เงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์กับโจทก์ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2521 ในวงเงิน300,000 บาท ไม่มีกำหนดเวลาและจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยได้ตามหลักเกณฑ์ของโจทก์ กำหนดส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันสิ้นเดือน หากผิดนัดยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้น เมื่อทำสัญญาแล้วจำเลยก็สั่งซื้อขายหุ้นบริษัทต่าง ๆ ในตลาดหลักทรัพย์และหักกลบลบหนี้กับโจทก์เรื่อยมาโดยวิธีหักทอนบัญชี ปรากฏจากการหักทอนบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่31 ตุลาคม 2522 ว่าจำเลยมีหุ้นบริษัทราชาเงินทุน จำกัด ค้างอยู่ในบัญชีตั้งแต่เดือนมีนาคม 2522 และเมษายน 2522 โจทก์ได้จ่ายเงินออกจากบัญชีเดินสะพัดตามคำสั่งของจำเลย และจำเลยยังชำระเงินให้โจทก์ไม่ครบถ้วน เป็นเงินต้น 114,502.34บาท กับดอกเบี้ย 9,757.96 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 124,260.30บาท โจทก์แจ้งการหักทอนบัญชีดังกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่ชำระ ยอดหนี้สุดท้ายเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2522 จำนวน124,260.30 บาท และดอกเบี้ยของจำนวนเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2522 ถึงวันฟ้องในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คิดเป็นเงิน 27,181.92 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 151,442.22 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในต้นเงิน 124,260.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นบริษัทหลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2517 แต่การซื้อขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายดังกล่าว สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นที่จะกระทำได้ ไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ จึงไม่ได้ข้อเท็จจริงอันมีสาระครบถ้วนตามกฎหมายที่จะทำให้โจทก์มีฐานะสมบูรณ์ในข้อหาที่ฟ้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้จำเลยตามสัญญา ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมและไม่ขาดอายุความ โจทก์มีอำนาจฟ้องและเป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้จำเลยตามสัญญา จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 124,260.30 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้นจำนวน 114,502.34บาทนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2522 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นเรื่องฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ว่าโจทก์บรรยายฟ้องถึงวันเวลาที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์และวิธีการสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญา และสำเนาบัญชียอดหนี้ทีจำเลยค้างชำระท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นการแสดงถึงวันที่จำเลยแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โจทก์ทำการเป็นนายหน้า และจ่ายเงินแทนจำเลย รวมทั้งข้อตกลงที่โจทก์จำเลยจะตัดทอนบัญชีอันเกิดจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลย เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่าโจทก์มีสิทธิซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยโจทก์เป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจจะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน.