คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยขาดบัญชีไประหว่างวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2504 ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 แต่โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2525 ว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างวันที่17 มิถุนายน 2505 ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 โดยหาได้มีข้อเท็จจริงใด ๆ ที่แสดงว่าจำเลยเริ่มกระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2505 ตามฟ้องไม่ เป็นเพียงแต่ถือเอาตามระยะเวลาดังกล่าวเพื่อมิให้คดีโจทก์ขาดอายุความเท่านั้น เพราะหากฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดก่อนวันที่ 17 มิถุนายน 2505 แล้วคำนวณหถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 20 ปี คดีจะขาดอายุความ การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในช่วงระยะเวลาดังกล่าวในฟ้อง จึงปราศจากหลักเกณฑ์ที่แน่นอน และมิใช่วันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดอันแท้จริง เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดที่แท้จริงเมื่อใดและการกระทำความผิดของจำเลยอยู่ในช่วงระยะเวลาที่ไม่ขาดอายุความแล้วก็ลงโทษจำเลยไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 17 มิถุนายน 2505 ถึงวันที่ 26กรกฎาคม 2505 จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกเงิน สำนักงานเลขานุการ สำนักงาน ก.พ.และเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายจำเลยมีหน้าที่ทำฎีกา เบิกเงินรับเงิน จ่ายเงินและเก็บรักษาเงิน ทั้งเงินในงบประมาณและเงินนอกงบประมาณทุกประเภทของสำนักงาน ก.พ. ทำบัญชีเงินสดฯลฯจำเลยได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ทำ จัดการ และอยู่ในความดูแลรักษารับผิดชอบของจำเลย เป็นของตนและผู้อื่นโดยทุจริตเป็นเงิน 520,907.55 บาท และระหว่างวันที่ดังกล่าวข้างต้น จำเลยได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตโดยนำเงินออกไปโดยปราศจากหลักฐานอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และได้เบียดบังเอาเงินจำนวน 520,907.55 บาท ซึ่งเป็นของสำนักงาน ก.พ. ไปเป็นของตนและผู้อื่นโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151 ที่แก้ไขแล้ว
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147 เนื่องจากจำเลยอายุ 66 ปี และนำเงินมาใช้คืนให้สำนักงาน ก.พ. ครบถ้วนแล้ว จึงให้จำคุกจำเลย 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบได้ความเพียงว่า เมื่อวันที่ 26กรกฎาคม 2505 กรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจบัญชีเงินสดและหลักฐานแทนตัวเงินกับตัวเงินสดและหลักฐานแทนตัวเงินซึ่งจำเลยนำมาให้ตรวจแล้ว ปรากฏว่าขาดไป 556,907.55 บาท ต่อมาจำเลยมีหลักฐานว่าได้จ่ายไปโดยถูกต้อง 36,000 บาทยังคงขาดไปอีก 520,907.55บาท เงินจำนวนดังกล่าวกรรมการตรวจเงินแผ่นดินไม่สามารถแยกออกบัญชีประเภทไหนขาดไปเท่าใด เมื่อใด เพราะบัญชีลงไว้ไม่เรียบร้อยและหลักฐานสับสน หนังสือของประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินถึงอธิบดีกรมตำรวจตามเอกสารหมาย จ.10 กล่าวว่าการยักยอกเงินของสำนักงาน ก.พ. จะต้องเกิดขึ้นระหว่างวันที่29 มกราคม 2503 ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 โดยถือเอาการตรวจเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2503 เป็นหลัก แต่ปรากฏว่าในวันที่ 6 กุมภาพันธ์2504 กรรมการตรวจเงินแผ่นดินทำการตรวจบัญชีประจำปีแล้วพบว่าเงินขาดเพียง 13.56 บาท คำนวณเวลาจากการตรวจครั้งนี้ถึงการตรวจเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 แล้ว เป็นเวลา 535 วัน อันเป็นช่วงระยะเวลาที่จำเลยเบียดบังเอาเงินของสำนักงาน ก.พ.ไป แต่โจทก์กลับฟ้องเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2525 ว่าจำเลยกระทำความผิดระหว่างวันที่ 17 มิถุนายน 2525 ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 ซึ่งมีระยะเวลาเพียง 39 วัน โดยหาได้มีข้อเท็จจริงใดๆ ที่แสดงว่าจำเลยเริ่มกระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2505 ตามฟ้องไม่ เป็นเพียงแต่ถือเอาตามระยะเวลาดังกล่าว เพื่อมิให้คดีโจทก์ขาดอายุความเท่านั้น เฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่าเงินที่จำเลยเบียดบังเอาไปเป็นจำนวนมาก จำเลยต้องกระทำการดังกล่าวเป็นเวลาต่อเนื่องกันนานพอสมควร และอาจเป็นการกระทำก่อนวันที่ 17 มิถุนายน 2505 ก็ได้ เพียงแต่ว่าได้มีการตรวจพบครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 ว่าเงินขาดจำนวน556,907.55 บาท จะถือว่าจำเลยได้กระทำผิดในระยะที่ตรวจพบหาได้ไม่เพราะมิฉะนั้นแล้ว วันเวลาที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดก็จะขึ้นอยู่กับการที่กรรมการตรวจเงินแผ่นดินจะตรวจสอบบัญชีเมื่อใด กล่าวคือ หากกรรมการตรวจเงินแผ่นดินทำการตรวจบัญชีเนิ่นช้าไปเพียงใด ก็จะเป็นผลให้โจทก์สามารถบรรยายวันเวลากระทำความผิดของจำเลยยืดออกไปอีก เป็นการยืดอายุความในการกระทำความผิดที่ได้กระทำไปก่อนแล้วในทางตรงกันข้ามหากมีการตรวจสอบบัญชีเร็วขึ้นเพียงใด ก็จะทำให้ระยะเวลาที่โจทก์สามารถบรรยายว่าเป็นวันที่จำเลยกระทำความผิดน้อยลง ยิ่งได้มีการตรวจสอบบัญชีก่อนวันที่ 26 กรกฎาคม 2504 ถึง 39 วันแล้วคดีโจทก์ก็จะขาดอายุความ โจทก์ไม่สามารถมีวันเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดโดยไม่ขาดอายุความได้เลย ดังนี้จึงเห็นว่าการที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดระหว่างวันที่ 17มิถุนายน 2505 ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 นั้น ปราศจากหลักเกณฑ์ที่แน่นอน และมิใช่วันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดอันแท้จริง เหตุที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในช่วงระยะเวลาที่กล่าวในฟ้อง ก็เพราะหากฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดก่อนวันที่ 17มิถุนายน 2505 แล้ว คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 20 ปี คดีขาดอายุความดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วนั่นเองเมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดที่แท้จริงเมื่อใด และการกระทำความผิดของจำเลยอยู่ในช่วงระยะเวลาที่ไม่ขาดอายุความแล้ว คดีก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง.

Share