แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องฐานฉ้อโกงที่ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ใหญ่บ้านเรียกร้องเอาเงินจากลูกบ้าน 80 บาท โดยอ้างว่าเสมียนอำเภอใช้ให้ตนมาเอา เรื่องที่ลูกบ้านขอจับจองที่ดินและจับจองทับทางเดินถ้าไม่ให้เงินการจับจองจะไม่สำเร็จ ลูกบ้านหลงเชื่อว่าเสมียนอำเภอใช้ผู้ใหญ่บ้านมาเอาเงินจริง จึงมอบเงิน 80 บาทแก่ผู้ใหญ่บ้านไป ซึ่งความจริงเสมียนอำเภอไม่ได้ใช้ผู้ใหญ่บ้านมาเรียกเอาเงินจากลูกบ้านเลย ดังนี้ ผู้ใหญ่บ้านต้องมีความผิดฐานฉ้อโกง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านได้นำความเท็จซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง ไปหลอกลวงโจทก์กับนายคำดี นายคุ้มว่า ให้นำเงินคนละ ๘๐ บาท มาให้จำเลย โดยจำเลยบอกว่านายรสเสมียนอำเภอเมืองเลยให้มาเอาเป็นค่ารังวัดที่ดิน ซึ่งโจทก์กับพวกจับจองกับเป็นค่าจับจองทับทาง, ถ้าไม่ให้เงินทางราชการจะไม่ยอมอนุญาตให้จับจองและออกประกาศโฆษณาให้ โจทก์กับนายคำดี นายคุ้มหลงเชื่อ จึงได้มอบเงินคนละ ๘๐ บาท ให้แก่จำเลยไป ต่อมาจึงทราบว่านายรสมิได้ใช้ให้จำเลยไปเอาเงินจากโจทก์กับพวก โจทก์จึงทราบว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกงเอาเงินของโจทก์กับพวกไปเป็นประโยชน์ส่วนตนเสีย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๐๔, ๑๓๖
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษฐานฉ้อโกงตามมาตรา ๓๐๔
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้เรียกร้องเอาเงินจากโจทก์ ๘๐ บาท โดยอ้างว่านายรสเสมียนอำเภอใช้ให้จำเลยมาเอาเรื่องที่โจทก์ขอจับจองที่ดินและจับจองทับทางเดิน ถ้าไม่ให้เงินการจับจองจะไม่สำเร็จ โจทก์หลงเชื่อว่านายรสใช้จำเลยมาเอาเงินจริงจึงมอบเงิน ๘๐ บาทให้แก่จำเลยไป ซึ่งความจริงนายรสไม่ได้ใช้ให้จำเลยมาเรียกเอาเงินจากโจทก์ ดังนี้จำเลยต้องมีความผิดฐานฉ้อโกง
จึงพิพากษายืน