คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 อายุ 19 ปี จำเลยที่ 2 อายุ 17 ปี เป็นนักเรียนโรงเรียนช่างกลแห่งหนึ่ง เลิกเรียนแล้วได้ไปดื่มสุราที่ร้านอาหารที่มีการแสดงดนตรีจนดึกเกือบ 24 นาฬิกา แล้วแสดงความประพฤติไม่ดีจะไม่จ่ายค่าอาหาร ครั้นถูกติดตามทวงค่าอาหารก็เกิดความไม่พอใจและไปพาพวกมายิงพนักงานร้านอาหารนั้นจนถึงแก่ความตาย แสดงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 รู้สึกผิดชอบเป็นผู้ใหญ่และประพฤติตนเป็นอาชญากรเหี้ยมโหดถึงกับฆ่าผู้ประกอบกิจการงานโดยสุจริต เป็นภัยแก่สังคมอย่างยิ่ง ไม่สมควรได้รับการลดมาตราส่วนโทษลงอีก หรือดำเนินการตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 3 มีและพาอาวุธปืนและกระสุนปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายลงกรณ์ บำรุงตา 1 นัด กระสุนปืนถูกนายลงกรณ์ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 288, 371พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิริบอาวุธปืน ลูกกระสุนปราย กระสุนปืนลูกซอง และซองปืนของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยที่ 3 ขอถอนคำให้การเดิมกลับขอรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำเลยที่ 1 อายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษลง 1 ใน 3 ตามมาตรา 76 จำเลยที่ 2 อายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 75 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือนจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 20 ปีและจำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7, ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ฐานมีอาวุธปืน ให้จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัว ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 23 ปี คำรับชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 3 รับสารภาพชั้นพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 11 ปี 6 เดือน ริบอาวุธปืน ลูกกระสุนปืนและซองปืนของกลาง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายประยุทธ มหานพวงศ์ชัยและนายลูกรัก สุขประเสริฐ เป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลา 20 นาฬิกาเศษ ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายชรินทร์ไปรับประทานอาหารที่ร้านสวีทคาเฟ่ซึ่งนายประยุทธและนายลูกรักทำงานอยู่ แล้วนายชรินทร์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีพฤติการณ์จะหลบออกจากร้านไม่ชำระค่าอาหาร นายลูกรักและนายลงกรณ์ บำรุงตา ผู้ตายติดตามให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 มาชำระในร้าน เมื่อชำระแล้วก่อนกลับจำเลยที่ 2 พูดในทำนองอาฆาตว่าประเดี๋ยวจะมาใหม่ เวลาประมาณ24 นาฬิกาผู้ตายไปบอกนายลูกรักว่าพวกที่ไม่ชำระค่าอาหารกลับมาอีกแล้ว นายลูกรักออกไปดูกับผู้ตายเห็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยืนที่เสาไฟฟ้าหน้าร้านสวีทคาเฟ่ จำเลยที่ 3 นั่งอยู่บนรถสามล้อเครื่อง จำเลยที่ 1กวักมีเรียกผู้ตายเดินเข้าไปหา นายลูกรักเดินตามไปด้วย จำเลยที่ 2ขึ้นบนรถสามล้อเครื่องมีเสียจำเลยพูดว่ายิงแม่มันเลย จำเลยที่ 1 รีบขึ้นรถสามล้อเครื่องนั้น ทันใดนั้นจำเลยที่ 3 ก็ใช้ปืนลูกซองสั้นยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย คนขับรถสามล้อเครื่องขับรถพาจำเลยทั้งสามหลบหนีไป นายประยุทธและนายลูกรักพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต่อเนื่องกันเป็นอันดี และต่างไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นนักเรียนมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งปรักปรำ ประกอบกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นำสืบรับข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุเล็กน้อยจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายชรินทร์เข้าไปรับประทานอาหารในร้านสวีทคาเฟ่แล้วเดินออกจะไม่ชำระค่าอาหาร จนนายลูกรักและผู้ตายต้องไปตามมาชำระ จำเลยที่ 2 พูดว่าจะกลับมาที่ร้านอีกในทำนองแค้นเคืองอาฆาต นายประยุทธและนายลูกรักมีโอกาสเห็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเวลานาน เชื่อว่าจำหน้าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับมายังร้านที่เกิดเหตุอีกครั้งหนึ่ง ผู้ตายมาตามนายลูกรักให้ไปดู นายลูกรักจึงเห็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 อีกในระยะใกล้โดยมีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่เสาไฟฟ้าและนายแสงไฟหน้าร้านค้ารอบบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งเชื่อว่า นายลูกรักจำหน้าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ในขณะเกิดเหตุ ทั้งได้ความว่าหลักจากเกิดเหตุเล็กน้อยร้อยตำนวจเอกบูรพา ฤกษ์สังเกตุ และจ่าสิบตำรวจคะไนย์ นวลสนิท กับตำรวจอีกหลายนายติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามได้ชณะโดยสารรถแท็กซี่กกลับมาบ้านด้วยกัน ค้นพบอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายได้จากจำเลยที่ 3 นำจำเลยไปให้นายลูกรักดูตัว นายลูกรักยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นคนร้ายรายนี้ และนำจำเลยไปให้พันตำรวจตรีจีรเดช พรหโมบล พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 1 ให้การภาภเสธรับว่าไปที่เกิดเหตุจริงแต่มิได้กระทำความผิดคดีนี้พันตำรวจตรีจีรเดช ร้อยตำรวจเอกบูรพา และจ่าสิบตำรวจคะไนย์เบิกความสอดคล้องกับนายลูกรัก เป็นการติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายหลังจากเกิดเหตุอย่างกระชั้นชิดขณะโดยสารรถแท๊กซี่คันเดียวกันมา พยานโจทก์จึงรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 โกรธผู้ตายกับพวกร้านสวีทคาเฟ่ที่ติดตามทวงค่าอาหาร จึงไปนำจำเลยที่ 3 ซึ่งมีอาวุธปืนมายิงผู้ตาย ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าการที่จำเลยที่ 3 ยิงผู้ตาย จำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น นายลูกรักพยานโจทก์เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เรียกผู้ตายเข้าไปที่รถสมมล้อเครื่องที่จำเลยที่ 3นั่งอยู่ เมื่อผู้ตายและนายลูกรักเดินเข้าไปไกล จำเลยที่ 1 ที่ 2ก็ขึ้นบนรถสามล้อเครื่องนั้นพร้อมกับพูดบอกจำเลยที่ 3 ให้ยิงหลังจากจำเลยที่ 3 ยิงผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสามพากันนั่งรถสามล้อเครื่องคันนั้นหลบหนีไปด้วยกัน แล้วพากันเปลี่ยนนั่งรถแท็กซี่จนถูกจับ แสดงว่าจำเลยทั้งสามไปที่ร้านสวีทคาเฟ่เพื่อยิงผู้ตายกับพวกเพราะโกรธแค้นที่ทวงค่าอาหาร ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 3 ฆ่าผู้ตาย ส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2ฎีกาว่าผู้ตายกับพวกเห็นจำเลยทั้งสามมาที่ร้านสวีทคาเฟ่อีกหากจะไม่ให้มีเรื่องก็น่าจะเลี่ยงโดยไม่เดินถือไม้ออกไปยั่วยุและร้องด่าจำเลยทั้งสามเหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพราะผู้ตายกับนายลูกรักเป็นฝ่ายก่อขึ้นก่อนนั้นไม่มีเหตุผลที่จะเป็นไปได้ เพราะการที่จำเลยที่ 3 นำอาวุธปืนติดตัวมานั้นเป็นการเตรียมอาวุธปืนมาเพื่อทำร้ายผู้ตายกับพวกซึ่งเป็นพนักงานร้านขายอาหาร ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกค้าและเป็นนักเรียนถ้ากระทำการดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาก็อาจถูกเจ้าของร้านลงโทษทั้งอาจถูกจับกุมดำเนินคดีอาญาด้วย จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 อายุ 19 ปี จำเลยที่ 2 อายุ 17 ปี เป็นนักเรียนโรงเรียนช่างกลกนกเทคโนโลยี ชั้นปีที่ 3 ชอบที่จะลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 2 ควรให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เลิกเรียนแล้วกลับไปดื่มสุราที่ร้านอาหารที่มีการแสดงดนตรีจนดึกเกือบ 24 นาฬิกา แล้วแสดงความประพฤติไม่ดีจะไม่จ่ายค่าอาหารครั้นถูกติดตามทวงค่าอาหารก็เกิดความไม่พอใจและไปพาพวกมายิงพนักงานร้านอาหารนั้นจนถึงแก่ความตาย แสดงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2รู้สึกผิดชอบเป็นผู้ใหญ่และประพฤติตนเป็นอาชญากรเหี้ยมโหดถึงฆ่าผู้ประกอบกิจการงานโดยสุจริต เป็นภัยแก่สังคมอย่างยิ่ง ไม่สมควรจะได้รับการลดมาตราส่วนโทษลงอีก หรือดำเนินการตามมาตรา 74ดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share