คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1424/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษ แม้จะเป็นการแก้ไขมาก แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กมิใช่การลงโทษจึงถือมิได้ว่าศาลทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 1 ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำอนาจารและชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 279
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 อันเป็นบทหนัก จำเลยอายุ 15 ปีเศษลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งแล้วจำคุกจำเลย 4 ปี เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเพื่อรับการฝึกอบรมมีกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี 6 เดือน ขั้นสูง 4 ปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 31, 32
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 2 ปี 4 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเพื่อฝึกอบรม มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี ขั้นสูง 2 ปี
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก,279 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 277 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนัก ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปีเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ประกอบกับมาตรา 80 ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี 4 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง กรณีเป็นการแก้บทลงโทษและกำหนดโทษแม้จะเป็นการแก้ไขมากแต่การที่ศาลทั้งสองเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมิใช่การลงโทษจึงถือมิได้ว่าสาลทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 29 ที่โจทก์ฎีกาว่า เด็กหญิงนฤวรรณ มากสมบูรณ์ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยใช้อวัยวะเพศสอดไขเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย และพันตำรวจตรี สุวรรณอุดมหรรษา แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลเบิกความยินยันตามเอกสารหมาย จ.1 ว่าบริเวณแคมในอวัยวะเพศผู้เสียหายมีรอยช้ำเขียว พบน้ำหล่อเลี้ยงอสุจิที่บริเวณช่องคลอดของผู้เสียหาย ที่บริเวณอวัยวะเพศมีอาการบวมช้ำและติดเชื้อบางอย่างสันนิษฐานว่าถูกของแข็งไม่มีคม คดีน่าเชื่อว่าจำเลยได้ใช้อวัยวะเพศล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายถึงช่องคลอดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าอวัยวะเพศของจำเลยเพียงจรดปากช่องคลอดของผู้เสียหายเท่านั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์”.

Share