คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อถอนลวดหนามที่จำเลยและบริวารได้เข้าไปครอบครองในที่ดินทางหลวง ซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ขยายเขตทางหลวงรุกล้ำในที่ดินจำเลย หากศาลฟังว่าทางหลวงดังกล่าวมีการขยายเขตถูกต้องและมีแนวเขตเข้ามาในที่ดินจำเลยแล้วโจทก์ต้องใช้ค่าที่ดินและอาคารและค่ารื้อถอนให้จำเลย เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ซึ่งการที่จำเลยจะต้องรื้อรั้วลวดหนามออกไปจากทางหลวงดังกล่าวและโจทก์จะต้องใช้ค่าชดเชยที่ดินแก่จำเลยหรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอนต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อลวดหนามตามฟ้องเดิมก่อน ฟ้องแย้งจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีหน้าที่ดูแลทางหลวงทุกสายในเขตจังหวัดตราดรวมทั้งทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3271 ที่ดินบริเวณที่เป็นรัศมีทางของทางหลวงสายดังกล่าวอยู่ในความดูแลของโจทก์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2513 จนปัจจุบัน เมื่อประมาณต้อเดือนพฤศจิกายน 2526 จำเลยกับบริวารเข้าครอบครองที่ดินบริเวณที่เป็นรัศมีทางดังกล่าว โดยปักเสาล้อมรั้วลวดหนามเป็นแนวยาว 143 เมตร ยึดถือเป็นของจำเลยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนลวดหนามตั้งแต่ระยะกิโลเมตรที่ 2×158.00 ถึงกิโลเมตรที่2×301.00 รวมระยะทาง 143 เมตร ตามฟ้อง ถ้าไม่ยอมรื้อให้โจทก์รื้อได้เอง โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ทางหลวงดังกล่าวได้ขยายเขตกว้างเพียง 30 เมตรไม่ใช่ 40 เมตรตามฟ้อง บริเวณที่โจทก์ครอบครองไม่เคยมีการสละสิทธิครอบครองหรือแสดงเจตนายกที่ดินให้เป็นเขตทางหลวงขนาดกว้าง 40 เมตร เจ้าของที่ดินเดิมหรือจำเลยคงครอบครองที่ดินตามแนวรั้วลวดหนามอันเป็นแนวต่อกับเขตทางหลวงเป็นปกติตลอดมาจนปัจจะบันได้สร้างรั้นมา 15 ปีแล้ว เมื่อทางหลวงซึ่งเดิมเป็นถนนดินลูกรังเปลี่ยนเป็นลาดยางทำให้จุดกึ่งกลางถนนที่แท้จริงเปลี่ยนไป โจทก์แสดงการขยายเขตทางกว้าง 40 เมตร รุกล้ำเข้ามาในที่ดินจำเลย หากศาลฟังว่าทางหลวงหมายเลข 3271 มีการขยายเขตถูกต้องกว้าง 40 มีแนวเขตทางเข้ามาในที่ดินจำเลยโจทก์ต้องใช้ค่าที่ดินและอาคารและค่ารื้อถอนให้จำเลยคิดเป็นเงิน 150,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนหลักแสดงการขยายเขตทางหลวงจาก 40 เมตร เป็น 30 เมตรตามเดิมห้ามโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินที่จำเลยครอบครองหรือมิฉะนั้นให้โจทก์ใช้ค่าชดเชยที่ดินแก่จำเลย 150,000 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งมีลักษณะเป็นการฟ้องล่วงหน้าหรือมีเงื่อนไขต้องห้าม จึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟังแย้งของจำเลยเฉพาะในข้อแรกที่ให้โจทก์รื้อถอนหลักเขตแสดงเขตทางจาก 40 เมตร เป็น 30 เมตรห้ามโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ตามฟ้องแย้งข้อหลังของจำเลยมีว่า หากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3271 ได้มีการเปลี่ยนแปลงขยายเขตโดยถูกต้องตามกฏหมายก็ให้โจทก์ใช้ค่าชดเชยที่ดินแก่จำเลยเป็นเงิน 150,000 บาทเห็นได้ว่าฟ้องแย้งข้อหลังของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าชดเชยที่ดินแก่จำเลยก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3271 แล้ว จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ซึ่งการที่จำเลยจะต้องรื้อรั้วลวดหนามออกไปจากทางหลวงแผ่นดินดังกล่าวและโจทก์จะต้องใช้ค่าชดเชยที่ดินแก่จำเลยหรือไม่ยังไม่เป็นที่แน่นอน โดยจะต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วลวดหนามตามฟ้องเดิมเสียก่อน ดังนี้ ฟ้องแย้งข้อหลังของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179วรรคสุดท้าย ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งข้อหลังของจำเลยชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share