แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ผู้ร้องจะรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมแล้วก็ตาม คำพิพากษาตามยอมก็ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เมื่อปรากฏว่าโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริต ในขณะที่จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของทางทะเบียน จำนองก็ติดที่ดินพิพาทไปด้วย ผู้ร้องหามีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดเพื่อบังคับชำระหนี้จำนองของโจทก์ไม่.(ที่มา-เนติ)
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 30 หมู่ที่ 2 ตำบลลำนารายณ์ (บัวชุม) อำเภอชัยบาดาลจังหวัดลพบุรี เดิมเป็นของนายอ่อนศรี บุญญะบาล ต่อมามีการแบ่งขายคงเหลือที่ดินอยู่ 7 ไร่ 2 งาน 97 ตารางวา นายอ่อนศรีบุญญะบาล ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2516 ต่อมาวันที่ 5ตุลาคม 2516 นายชัย บุญญะบาล จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับมรดกและได้ให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับทายาทมีสิทธิรับมรดก พนักงานที่ดินได้ประกาศเรื่องรับมรดกที่ดินและปิดประกาศตามระเบียบแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ต่อมาวันที่26 มกราคม 2517 พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้จดทะเบียนโอนที่ดินมรดกดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้แบ่งขายที่ดินไปอีก 5 แปลง คงเหลือที่ดิน 5 ไร่ 35 ตารางวา วันที่ 29 เมษายน2518 จำเลยที่ 2 ได้จำนองที่ดินเป็นประกันไว้กับโจทก์ และได้ไถ่ถอนจำนองเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2520 แล้วแบ่งขายที่ดินไปอีก 2 งาน 04 ตารางวา คงเหลือที่ดินอยู่ 4 ไร่ 2 งาน 01ตารางวาและจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์ในวันเดียวกันนั้นอีก ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2522 ขอให้บังคับจำนอง ผู้ร้องทั้งห้าได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2522 ขอให้แสดงสิทธิในที่ดินพิพาทและให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 2 ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องทั้งห้าหรือไม่ ผู้ร้องนำสืบอ้างว่า ก่อนนายอ่อนศรีถึงแก่กรรม 2 ปี นายอ่อนศรียกที่ดินให้ผู้ร้องทั้งห้าและจำเลยที่ 2 คนละเท่า ๆ กันและยกห้องแถวให้ผู้ร้องคนละห้อง ส่วนจำเลยที่ 2 มีบ้านอยู่แล้ว นายอ่อนศรี จึงไม่ยกห้องแถวให้ ส่วนพี่น้องของผู้ร้องอีก 4 คน นายอ่อนศรีไม่ได้ยกที่ดินหรือห้องแถวให้ ต่อมา พ.ศ. 2523 ผู้ร้องทั้งห้าไปขอรับมรดกได้รับแจ้งว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโอนไปหมดแล้ว ผู้ร้องไม่เคยสละมรดก ลายมือชื่อสละมรดกของผู้ร้องทั้งห้าเป็นลายมือชื่อปลอม พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ผู้ร้องทั้งห้าอ้างว่า นายอ่อนศรีบิดายกให้นั้นจะยกที่ดินส่วนใดให้ใครไม่ปรากฏ ในการยกให้ผู้ร้องอ้างว่า ยกให้เมื่อปีพ.ศ. 2513 ยกให้เท่า ๆ กัน แต่ปรากฏว่า ในปี พ.ศ. 2515 ก่อนนายอ่อนศรีถึงแก่กรรม 1 ปี นายอ่อนศรีได้แบ่งขายที่ดินให้กับนางสาวปรียาภรณ์ สถาพรพานิช และนายอ่อง ปรีชาลักษณ์ ถ้านายอ่อนศรียกให้แล้วก็คงไม่แบ่งขายไปอีกบางส่วนซึ่งจะทำให้ส่วนของผู้ร้องบางคนลดน้อยไป อีกประการหนึ่ง นายอ่อนศรีถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2516 แต่ปรากฏว่า ผู้ร้องทั้งห้าขอรับมรดกเมื่อ พ.ศ. 2523 หากผู้ร้องได้รับการยกให้จริงแล้วคงจะไม่ละเลยทิ้งไว้ถึง 7 ปีเป็นการผิดวิสัย ที่ผู้ร้องอ้างว่าได้รับยกให้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ และที่ผู้ร้องทั้งห้าอ้างว่าไม่ได้สละมรดก ลายมือชื่อผู้สละมรดกเป็นลายมือปลอมนั้น ปรากฏจากหลักฐานการรับมรดกว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประกาศเรื่องที่จำเลยที่ 2 ขอรับมรดกที่ดินพิพาท ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดคัดค้านหลังจากที่จำเลยที่ 2รับมรดกมาแล้ว จำเลยที่ 2 ได้จัดการทำการรังวัดแบ่งขายหลายครั้งหลายแปลงรวมเนื้อที่ 3 ไร่เศษ ซึ่งเกินส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้รับและเป็นการขายที่ดินส่วนของผู้ร้องไปด้วย ในการแบ่งขายย่อมจะต้องมีการรังวัดผู้ร้องอยู่ในที่พิพาทต้องเห็นการรังวัดดังกล่าว หากผู้ร้องมิได้สละมรดกและมีสิทธิเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ผู้ร้องก็น่าจะคัดค้านการแบ่งขายดังกล่าว แต่ผู้ร้องก็มิได้คัดค้านแต่ประการใดข้ออ้างของผู้ร้องฟังไม่ขึ้นอีก และส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า จำเลยที่ 2 กับผู้ร้องได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และมีคำพิพากษาตามยอมแล้วตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 114/2523 ของศาลจังหวัดลพบุรีคำพิพากษาตามยอมย่อมผูกพันโจทก์ เห็นว่า โจทก์เป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นคู่ความด้วย คำพิพากษาตามยอมจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์เป็นผู้รับจำนองที่ดินขณะที่เป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งตามหลักฐานทางทะเบียนเป็นของจำเลยที่ 2 การที่โจทก์รับจำนองจึงเชื่อได้ว่ากระทำไปโดยสุจริตถึงแม้ผู้ร้องทั้งห้าจะรับโอนที่ดินพิพาทซึ่งมีการจำนองไว้กับโจทก์โดยนิติกรรมสัญญาประนีประนอมยอมความ จำนองก็ติดที่ดินพิพาทไปด้วยผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์พิพาท’
พิพากษายืน.