แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้ผู้คัดค้านตามสัญญาซื้อขายและรับสภาพหนี้ต่อมาจำเลยชำระหนี้ดังกล่าวด้วยการออกเช็คให้ไว้ และผู้คัดค้านฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว แต่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนั้นความรับผิดตามสัญญาซื้อขายหรือการที่จำเลยชำระหนี้ด้วยการออกเช็คไว้เดิม จึงเป็นอันระงับไป กลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมีข้อตกลงให้ผู้คัดค้านไปถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาที่จำเลยได้ออกเช็คไว้ด้วยก็ตามแต่หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็มิได้มีเฉพาะรายที่ผู้คัดค้านได้ร้องทุกข์ไว้ หากมีหนี้รายอื่นรวมอยู่ด้วยจึงเห็นได้ว่าที่จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความภายหลังจากโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยผู้ล้มละลาย ขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ตามมาตรา 115 แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลายฯ.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจาก วันที่ 22 มิถุนายน 2524 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาจำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2524 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า จำเลยถูกบริษัทเฮิกซ์ไทย จำกัด เป็นโจทก์ฟ้องขอให้ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน เมื่อวันที่ 2พฤศจิกายน 2524 ให้จำเลยชำระเงิน 154,172 บาท พร้อมดอกเบี้ยขำเจำเลยผ่อนชำระงวดแรกจำนวน 30,000 บาทเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2524การกระทำของจำเลยมุ่งหมายให้บริษัทเฮิกซ์ไทย จำกัด เจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าว ตามมาตรา 115แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ ให้บริษัทเฮิกซ์ไทย จำกัด คืนเงินจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
บริษัทเฮิกซ์ไทย จำกัด คัดค้านว่า ได้รับชำระหนี้จากจำเลยเป็นเงิน 30,000 บาท ภายหลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้เป็นบุคคลล้มละลายจริงแต่มิได้มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นเพราะจำเลยประสงค์จะให้หลุดพ้นจากคดีอาญาข้อหาออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และผู้คัดค้านได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ จำเลยชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านตามสัญญานั้นขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้เงิน 30,000 บาทระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยเป็นหนี้ผู้คัดค้านอยู่ตามสัญญาซื้อขายและรับสภาพหนี้ แม้จำเลยได้ทำการชำระหนี้ดังกล่าวด้วยการออกเช็คให้ไว้ก็ตาม แต่เมื่อผู้คัดค้านฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว และต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาตามยอม เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2524 ความรับผิดตามสัญญาซื้อขายหรือการที่จำเลยชำระหนี้ด้วยการออกเช็คไว้เดิมเป็นอันระงับไปกลายมาเป็นหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมีข้อตกลงให้ผู้คัดค้านไปถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาที่จำเลยได้ออกเช็คไว้ด้วยก็ตาม แต่หนี้ที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็มิได้มีเฉพาะรายที่ผู้คัดค้านได้ร้องทุกข์ไว้ หากมีหนี้อื่นรวมอยู่ด้วย จึงเห็นได้ว่าที่จำเลยชำระหนี้ไปตามจำนวนดังกล่าวเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย…ซึ่งประสงค์ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้โดยเสมอภาคกัน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยผู้ล้มละลายขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ ตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย…ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 681/2519 ระหว่างบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด โจทก์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทสหวิศวมหาไทย จำกัด ผู้ล้มละลาย ผู้ร้องบริษัทโชคชัยจำกัด ผู้คัดค้าน บริษัทสหวิศวมหาไทย จำกัด จำเลย…
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น…”.