คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 158/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์สิน 5 รายการรวมราคา 7,800 บาท ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด เป็นคดีมีทุนทรัพย์และราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกินสองหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยฟังว่าทรัพย์ที่นำยึดไม่ใช่ของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ชอบและผู้ร้องจะฎีกาข้อเท็จจริงขึ้นมาอีกไม่ได้.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพื่อบังคับชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา รวม 5 รายการ รวมราคา 7,800 บาท ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลยที่ 1ไม่ใช่ของผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์สิน 5รายการรวมราคา 7,800 บาท ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องทั้งสอง เป็นคดีมีทุนทรัพย์และราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกินสองหมื่นบาทซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3 เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์สินที่ยึดเป็นของจำเลยที่1 ไม่ใช่ของผู้ร้อง มีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบฟังได้ว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้จึงเป็นการไม่ชอบ ผู้ร้องจะฎีกาในข้อเท็จจริงขึ้นมาอีกได้ไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ยกฎีกาผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่ผู้ร้อง ค่าทนายความให้เป็นพับ.

Share