แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสโดยระบุจำนวนราคาสินสมรสมาในคำฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแบ่งสินสมรสโดยกำหนดราคาทรัพย์แต่ละอันดับไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าการแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภริยาต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1533 จึงพิพากษาว่าถ้าจำเลยไม่ยอมแบ่งหรือไม่สามารถแบ่งสินสมรสอันดับใดให้นำสินสมรสอันดับนั้นออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งหมายถึงว่าการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทอันดับใดได้เงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่ระบุในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาที่ขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทนั้น แต่ในทางกลับกันจำเลยก็คงจะรับผิดต่อโจทก์ไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่โจทก์กล่าวอ้างและมีคำขอมาในคำฟ้อง เมื่อจำเลยยอมแบ่งสินสมรสตามจำนวนเงินที่ระบุมาในคำฟ้องแก่โจทก์ จึงถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา และให้จำเลยแบ่งสินสมรสอันดับที่ 1 ถึงที่ 21 ยกเว้นอันดับที่ 18 และที่ 20ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยกำหนดราคาทรัพย์สินสมรสแต่ละอันดับไว้ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าถ้าจำเลยไม่ยอมแบ่งหรือไม่สามารถแบ่งสินสมรสอันดับใด ให้นำสินสมรสอันดับนั้นออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยได้นำเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาจำนวน 4,043,940 บาทมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้โจทก์รับไป โจทก์คัดค้านว่าจำนวนเงินไม่ถูกต้อง โจทก์ยังติดใจในราคาทรัพย์สินอันดับที่ 1 ถึงที่ 3 และอันดับที่ 10 ถึง 14 ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีต่อไป ศาลชั้นต้นนัดพร้อมในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2539 และมีคำสั่งว่าโจทก์และจำเลยต่างโต้แย้งกันอยู่ในเรื่องแบ่งสินสมรส ถือได้ว่าเป็นกรณีที่การแบ่งไม่อาจตกลงกันได้ จึงให้นำสินสมรสอันดับที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 10 ถึงที่ 14 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนเท่ากัน จำเลยแถลงว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำบังคับของศาลและได้นำเงินที่จะต้องชำระแก่โจทก์อีก 104,868.05 บาท วางต่อศาลชั้นต้นและขอให้ศาลชั้นต้นสั่งถอนการยึดทรัพย์ในคดีนี้ทั้งหมด
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมในวันที่ 5 มิถุนายน 2539 และมีคำสั่งว่าหลังจากศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดีในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2539 แล้วไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์จึงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำสินสมรสอันดับที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 10 ถึงที่ 14 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนเท่ากัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์จำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินสมรส ให้จำเลยนำเงินส่วนแบ่งสินสมรสที่ขาดกับค่าธรรมเนียมมาชำระภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด มิฉะนั้นให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินต่อไป
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วหรือไม่คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแบ่งสินสมรสท้ายฟ้อง อันดับที่ 1 ถึงที่ 21 ยกเว้นอันดับที่ 18 และที่ 20 ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยได้กำหนดราคาทรัพย์แต่ละอันดับไว้และศาลฎีกาเห็นว่าการแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภริยาตามคำพิพากษาต้องแบ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 ที่ว่า “เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน” ซึ่งถ้าการแบ่งไม่อาจตกลงกันได้ ก็ให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่า ถ้าจำเลยไม่ยอมแบ่งหรือไม่สามารถแบ่งสินสมรสอันดับใด ให้นำสินสมรสอันดับนั้นออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หมายถึงหากขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทอันดับใดได้เงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่ระบุในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาที่ขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทนั้นแต่ในทางกลับกันจำเลยก็คงจะรับผิดต่อโจทก์ไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่โจทก์กล่าวอ้างและมีคำขอมาในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่งที่ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากในคำฟ้อง ดังนี้ เมื่อโจทก์ขอแบ่งสินสมรสโดยระบุจำนวนราคาสินสมรสมาในคำฟ้อง และจำเลยยอมแบ่งสินสมรสตามจำนวนเงินที่ระบุมาในคำฟ้องแก่โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องตามคำพิพากษาแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่อาจที่จะร้องขอให้ขายทอดตลาดเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาได้อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาในประเด็นนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน