คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพนักงานสอบสวน ณ สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาให้ทราบและควบคุมตัวดำเนินคดีสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆจึงเป็นสถานที่ที่จำเลยถูกจับ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆจึงมีอำนาจทำการสอบสวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคสอง พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้อง โจทก์ร่วมและจำเลยแถลงในรายงานกระบวนพิจารณาว่า โจทก์ร่วมยังติดใจหนี้อีกเพียง 381,699 บาท และจะถอนคำร้องทุกข์ต่อเมื่อจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมแล้วไม่มีข้อความว่าโจทก์ร่วมตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีต่อจำเลยในทันที การที่จำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์ร่วมจนครบจึงถือเป็นเงื่อนไขในการถอนคำร้องทุกข์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ร่วมจึงไม่ถูกผูกพันที่ต้องถอนคำร้องทุกข์และถือไม่ได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เมื่อโจทก์ได้แสดงเจตนาสละสิทธิเรียกร้องในหนี้บางส่วน โดยยังติดใจในหนี้อีกเพียง 381,699 บาท การแสดงเจตนาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพัน เมื่อจำเลยนำเงินมาชำระแก่โจทก์ร่วมเพียง 30,000 บาทจึงเหลือเงินจำนวน 351,699 บาท ที่จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยฎีกาว่า จำเลยทำผิดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีเหตุอันจำเป็นบังคับ จำเลยใช้เงินคืนโจทก์ร่วมบางส่วนแล้ว การรับสารภาพเป็นส่วนหนึ่งของวิธีที่จำเลยจะใช้เงินแก่โจทก์แสดงว่าจำเลยไม่เคยรู้สึกสำนึกผิด ทั้งจำเลยได้ยักยอกเงินค่าเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันชำระให้แก่โจทก์ร่วมมีจำนวน 84 ราย เป็นเงินจำนวน 763,399 บาท โทษจำคุก6 เดือน จึงเหมาะสมและไม่มีเหตุรอการลงโทษจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานของบริษัทไทยศรีนครประกันภัย จำกัด ผู้เสียหายตำแหน่งพนักงานเก็บเบี้ยประกัน มีหน้าที่ครอบครองดูแลเก็บรักษาเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่บรรดาลูกค้าผู้เอาประกันได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เสียหาย และนำเงินดังกล่าวส่งมอบให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยได้ยักยอกเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่บรรดาลูกค้าผู้เอาประกันภัยได้ชำระให้แก่ผู้เสียหายจำนวน 84 ราย คิดเป็นเงินรวม 763,399 บาท ซึ่งจำเลยครอบครองไว้เพื่อส่งมอบให้แก่ผู้เสียหายไปเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้คืนหรือใช้เงินจำนวน 763,399 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณาบริษัทไทยศรีนครประกันภัย จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 763,399 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 733,399 บาทแก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นควรหยิบยกฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยขึ้นว่าก่อนโดยจำเลยฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 เพราะคำฟ้องไม่ได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่า จำเลยยักยอกเงิน ณ ที่แห่งใดบ้านของจำเลยหรือที่ตั้งบริษัทและบ้านจำเลยอยู่ในแขวงคลองเตย เขตคลองเตย แต่การสอบสวนกระทำที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจการสอบสวนพนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า คำฟ้องบรรยายว่าจำเลยเป็นลูกจ้างผู้เสียหายมีหน้าที่ครอบครองดูแลเก็บรักษาเงินค่าเบี้ยประกันที่บรรดาลูกค้าชำระแก่ผู้เสียหายเช่นนี้มีความหมายชัดแจ้งว่าเงินที่จำเลยรับมาดังกล่าวนี้เป็นการรับแทนผู้เสียหาย เมื่อรับมาแล้วย่อมถือว่าอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย ซึ่งคำฟ้องก็ได้บรรยายว่าเหตุเกิดที่แขวงสีลม เขตบางรัก อันเป็นสถานที่ตั้งของนิติบุคคลผู้เสียหายส่วนอำนาจการสอบสวนนั้นปรากฏตามคำร้องขอผัดฟ้องและฝากขังครั้งที่ 1 ของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆว่า จำเลยปรากฏตัวต่อหน้าพนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาให้ทราบและควบคุมตัวดำเนินคดี ซึ่งหมายความว่าเป็นสถานที่ที่จำเลยถูกจับ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆจึงมีอำนาจทำการสอบสวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคสอง พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า เนื่องจากในคดีนี้โจทก์ร่วมได้ตกลงกับจำเลยให้ลดจำนวนเงินจากยอดจำนวน 763,399 บาท ลงเหลือเพียงร้อยละ 50 ของจำนวนดังกล่าว อันถือได้ว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันในระหว่างพิจารณาคดีไปแล้วและมีผลตามกฎหมายเนื่องจากคดีนี้เป็นความผิดอันยอมความกันได้ ศาลจึงชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เพียงไม่เกินร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องโดยนำเงินจำนวนที่ใช้แล้วมาหักออกด้วยนั้น ข้อเท็จจริงที่จะนำสู่การวินิจฉัยปัญหานี้ปรากฏอยู่ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับแรกลงวันที่ 25 สิงหาคม 2540ว่า จำเลยและโจทก์ร่วม (ทนายโจทก์ร่วม) ร่วมกันแถลงว่าโจทก์ร่วมตกลงลดยอดหนี้ให้จำเลยและจำเลยก็จะขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ร่วม โดยวันนี้จำเลยขอวางเงินต่อศาลเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมจำนวน 20,000 บาท และฉบับที่สองลงวันที่ 24 กันยายน 2540ว่า ทนายโจทก์ร่วมแถลงว่าโจทก์ร่วมลดยอดหนี้ให้จำเลย 50 เปอร์เซ็นต์ โดยยังติดใจอีกเพียง 381,699 บาท เมื่อจำเลยชำระหนี้ตามยอดเงินดังกล่าวแล้วทางฝ่ายโจทก์ร่วมก็จะถอนคำร้องทุกข์ เห็นว่า ข้อตกลงตามคำแถลงในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวนั้น โจทก์ร่วมจะถอนคำร้องทุกข์ยุติการดำเนินคดีต่อจำเลยก็ต่อเมื่อจำเลยชำระหนี้ยอดเงิน 381,699 บาท แก่โจทก์ร่วมแล้วไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าโจทก์ร่วมตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีต่อจำเลยในทันทีการที่จำเลยจะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ร่วมจนครบจำนวนดังกล่าวเป็นเงื่อนไขในการถอนคำร้องทุกข์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยไม่ชำระเงินให้ครบถ้วนตามที่ตกลงจึงมีผลว่าโจทก์ร่วมไม่ถูกผูกพันที่จะต้องถอนคำร้องทุกข์และถือไม่ได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแต่อย่างไรก็ตามโจทก์ร่วมได้แสดงเจตนาสละสิทธิเรียกร้องในหนี้บางส่วนที่มีต่อจำเลยโดยยังติดใจในหนี้อีกเพียง 381,699 บาท เท่านั้น ซึ่งกระทำได้โดยชอบ เมื่อได้แสดงเจตนาเช่นนั้นต่อจำเลยแล้วย่อมมีผลผูกพันหลังจากที่โจทก์ร่วมได้แสดงเจตนาาว่ายังติดใจในหนี้อีกเพียง 381,699 บาทแล้วต่อมาตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 17 ธันวาคม 2540 จำเลยแถลงว่าวันนี้ได้วางเงินต่อศาลจำนวน10,000 บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมแล้วขอเลื่อนคดีโดยนัดหน้าจำเลยจะนำเงินส่วนที่เหลืออีกจำนวน 351,699 บาท มาชำระให้แก่โจทก์ร่วม ทนายโจทก์ร่วมไม่ค้านแสดงให้เห็นว่าหนี้ที่โจทก์ร่วมยังติดใจเรียกร้องจากจำเลยจำนวน 381,699 บาท คือจำนวนเงินที่ยังไม่ได้หักจากเงินที่จำเลยนำมาชำระให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้นำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ร่วม 2 ครั้งรวมเป็นเงิน 30,000 บาท จึงเหลือหนี้ที่โจทก์ร่วมยังติดใจเรียกร้องให้จำเลยชำระอยู่อีก 351,699 บาท จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์ร่วม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาสุดท้ายจำเลยฎีกาขอให้กำหนดโทษต่ำลงและรอการลงโทษจำคุกจำเลยหรือรอการกำหนดโทษไว้โดยอ้างว่า จำเลยกระทำผิดเนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์จำเลยไม่ใช่คนร้ายกระทำผิดเพราะโลภจิต จำเลยได้กระทำไปเพราะเหตุอันจำเป็นบังคับใช้เงินของโจทก์ร่วมไปด้วยคิดที่จะชำระคืนอยู่ตลอดเวลา และต่อมาก็นำเงินมาใช้ให้โจทก์ร่วมบางส่วนแล้ว และโจทก์ร่วมยอมให้จำเลยใช้คืนครึ่งหนึ่งของจำนวนที่กล่าวในฟ้องจำเลยจึงยอมที่จะชดใช้ การรับสารภาพเป็นส่วนหนึ่งของวิธีที่จำเลยจะใช้เงินแก่โจทก์ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง แม้จำเลยยังไม่เห็นพ้องด้วยเท่าใดนัก เพราะโดยสำนึกในจิตใจของจำเลย จำเลยไม่เคยคิดว่าจะไม่ใช่เงินแก่โจทก์แต่ก็ยังพอรับได้แต่ในกรณีโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดโดยไม่รอการลงโทษนั้น จำเลยไม่เห็นด้วย จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เป็นการสมควรที่ศาลจะรอการกำหนดโทษหรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ เห็นว่า จากข้อความที่จำเลยกล่าวอ้างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่เคยรู้สึกสำนึกผิดทั้งจำเลยได้ยักยอกเงินค่าเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันภัยชำระให้แก่ผู้เสียหายหลายครั้งหลายคราว เป็นจำนวน 84 ราย เป็นเงินถึง 763,399 บาท จึงเห็นว่าอัตราโทษที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดนั้นเหมาะสมแล้ว และแม้จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ก็ไม่เป็นเหตุให้รอการลงโทษ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงิน 351,699 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share