คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5334/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จะถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วหรือไม่นั้นจะพิจารณาเพียงว่าจำเลย ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เรื่องใดบ้างเพียงประการเดียวหาได้ไม่ จะต้องพิจารณารวมถึงเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นด้วย จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกแถวพิพาทและจำเลย ไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้ให้เช่าตึกแถวพิพาท ไม่มีสิทธิเก็บกินในตึกแถวพิพาท และเจ้าของรวมคนอื่นมิได้มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินการ เป็นการยกเหตุแห่งการปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ขึ้นมาใหม่ อันเป็นคนละเหตุกับที่จำเลยให้การไว้ จึงเป็นข้อที่จำเลยมิได้ ยกขึ้นว่ามาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 7,000 บาท ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่า ของตึกแถวพิพาทในขณะยื่นคำฟ้อง เพราะเป็นเพียงอาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น เมื่อจำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทในอัตราค่าเช่าเดือนละ 300 บาท ต้องฟังว่าตึกแถว พิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ใน ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรวมและมีสิทธิเก็บกินในที่ดินโฉนดเลขที่ 3350 ตำบลถนนพญาไท (ประแจจีน) อำเภอดุสิต (ราชเทวี) กรุงเทพมหานครพร้อมตึกแถวเลขที่ 178/22 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดิน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2536 จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวดังกล่าวมีกำหนด 3 ปี ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปโจทก์อาจนำตึกแถวไปให้บุคคลภายนอกเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 15,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวดังกล่าวและส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ในสภาพปกติ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 15,000 บาท และอีกเดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากตึกแถวและส่งมอบการครอบครองให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์มิใช่เจ้าของตึกแถว และจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า หากโจทก์นำตึกแถวให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท เนื่องจากตึกแถวมีสภาพเก่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวพิพาทเลขที่ 178/22 ซอยวุฒิพันธ์ ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสันเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 7,000 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 7,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 มิถุนายน2539) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปและส่งมอบตึกแถวพิพาทคืนโจทก์เสร็จ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่าอุทธรณ์ของจำเลยเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ต้องถือว่าอุทธรณ์ของจำเลยเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่าการที่จะถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วหรือไม่นั้นจะพิจารณาเพียงว่าจำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เรื่องใดบ้างเพียงประการเดียวหาได้ไม่ จะต้องพิจารณารวมถึงเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นด้วย คดีนี้จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกแถวพิพาทและจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้ให้เช่าตึกแถวพิพาท ไม่มีสิทธิเก็บกินในตึกแถวพิพาท และเจ้าของรวมคนอื่นมิได้มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเป็นการยกเหตุแห่งการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ขึ้นมาใหม่ อันเป็นคนละเหตุกับที่จำเลยให้การไว้ จึงเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ามาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้เป็นการชอบแล้ว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่าอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 7,000 บาท แสดงว่าตึกแถวพิพาทอาจให้เช่าได้ในอัตราเกินเดือนละ 4,000 บาท อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 7,000 บาท ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าของตึกแถวพิพาทในขณะยื่นคำฟ้อง เพราะเป็นเพียงอาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทในอัตราค่าเช่าเดือนละ 300 บาท ต้องฟังว่าตึกแถวพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share