แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำแก้ฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้สอบสวนในความผิดข้อหาที่ฟ้องมาก่อน หากฟังว่าจำเลยกระทำผิดก็ขอให้รอการลงโทษ เป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 9, 14, 31 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพฐานยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้างแผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติ ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเป็นมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 จำคุก 1 ปี รับสารภาพในฐานความผิดนี้ลดให้กึ่งหนึ่งจำคุก 6 เดือนมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 75, 76 ความผิดฐานมีกัญชาแห้งจำคุก 2 ปี ฐานผลิตกัญชาจำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือนรวม 3 กระทง จำคุก 3 ปี 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคแกรให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาผลิตและมียาเสพติดให้โทษกัญชาไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยผลิตและมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ส่วนที่จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาว่า ข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาตินั้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้สอบสวนในความผิดข้อหานี้มาก่อน หากฟังว่าจำเลยกระทำผิดข้อหานี้ก็ขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยด้วย เห็นว่าคำแก้ฎีกาดังกล่าวของจำเลยเป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกาจะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาเช่นนี้หาได้ไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.